เวสต์เท็กซัสส่งมอบ ธ.ค.ปรับลดลง 1.77 เหรียญฯ ปิดที่ 94.61เหรียญฯ ส่วนเบรนท์ส่งมอบ ธ.ค. ปรับลดลง 2.93 เหรียญฯ ปิดที่ 105.91เหรียญฯ 

 

- ราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างหนัก ได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับค่าเงินยุโรป หลังตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือน ต.ค. ของกลุ่มสหภาพยุโรปปรับตัวดิ่งลงต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีมาอยู่ที่ 0.7% ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารยุโรปที่ 2% นอกจากนี้ตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนก.ย. ยังอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 12.2% ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรปอาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมธนาคารกลางยุโรปวันที่ 7 พ.ย. ที่จะถึงนี้ 

 

- นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่งมาอยู่ที่ 56.4 จุด จาก 56.2 จุด ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

+ ตัวเลขดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ของจีนประจำเดือนต.ค. ปรับตัวสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 18 เดือนมาอยู่ที่ 51.4 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 51.2 นอกจากนี้ดัชนีภาคบริการ (Non-Manufacturing PMI) เดือนต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น มาอยุ่ที่ 56.3 จุด จาก 55.4 จุดในเดือนก่อนหน้า โดยระดับที่อยู่เกิน 50 จุด แสดงถึงการขยายตัว

 

-/+ สถานการณ์การประท้วงและความวุ่นวายในลิเบียยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยแม้ล่าสุดรัฐบาลจะออกมาประกาศว่าสามารถบรรลุข้อตกลงกับคนงานที่ท่าเรือ Hariga ทางตะวันออกของประเทศได้แล้วส่งผลให้คาดว่าจะท่าเรือดังกล่าวจะกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้ที่ 110,000 บาร์เรลต่อวัน เหมือนในอดีตก่อนเกิดเหตุการณ์ประท้วง แต่จากแหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทฯน้ำมันในแถบดังกล่าวกลับบอกว่าแม้ท่าเรือจะกลับมาเปิดดำเนินงาน แต่จะยังไม่มีน้ำมันดิบส่งออกแต่อย่างใด โดยในปัจจุบันคาดการณ์ว่าลิเบียผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 200,000 – 300,000 บาร์เรลต่อวัน จากศักยภาพการผลิตที่เคยทำได้กว่า 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์จากเวียดนาม ศรีลังกา อินโดนีเซีย รวมทั้งโอกาสในการส่งออกน้ำมันเบนซินจากภูมิภาคไปยังตะวันออกกลาง

 

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในภูมิภาคโดยเฉพาะอินโดนีเซียและศรีลังกา ขณะที่อุปทานที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากไต้หวัน รวมทั้งปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่ปรับเพิ่มขึ้นในสิงคโปร์กดดันทำให้ราคาปรับเพิ่มไม่มากนัก

 

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่กรอบ 93-100 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 104-110 เหรียญฯ จับตาทิศทางนโยบายทางการเงินของการประชุมธนาคารกลางสหภาพยุโรปในช่วงกลางสัปดาห์นี้ และติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานสหรัฐฯ และดัชนีภาคการผลิตสหภาพยุโรปที่จะประกาศในวันนี้

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันจันทร์: ยอดคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานสหรัฐฯ รวมถึงดัชนีภาคการผลิตสหภาพยุโรปและเยอรมนี

วันอังคาร: ดัชนีภาคการบริการของจีน และสหรัฐฯ (ISM) สหรัฐฯ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิตสหภาพยุโรป

วันพุธ: ดัชนีภาคบริการ และยอดค้าปลีกสหภาพยุโรป รวมถึงดัชนีภาคการบริการ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนี

วันพฤหัสบดี: ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานสหรัฐฯ รวมไปถึงจีดีพีไตรมาส 3/56 สหรัฐฯ และการบริโภคภาคเอกชนจีน

วันศุกร์: ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ ดุลการค้าจีนและสหภาพยุโรป

 

- จับตาปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากลิเบีย โดยล่าสุดท่าเรือขนส่งน้ำมันดิบ และหลุมน้ำมันดิบสำคัญของลิเบีย คาดว่าจะสามารถเริ่มกลับมาดำเนินการได้ภายในสัปดาห์นี้

- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯซึ่งปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะเวลา 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี อันเป็นผลมาจากโรงกลั่นอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุงก่อนเข้าฤดูหนาวและปริมาณการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Tight Oil) ที่เพิ่มขึ้น

- ติดตามจีดีพีไตรมาส 3/2556 สหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศวันที่ 7 พ.ย.นี้ ซึ่งถือว่าล่าช้าไป 8 วัน ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 

- ผลการประชุมธนาคารกลางสหภาพยุโรป ในวันที่ 7 พ.ย. นี้ ว่าจะมีมุมมองต่อภาพรวม และนโยบายทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดธนาคารกลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงไว้ที่ระดับต่ำที่ 0.5 %