"ผมมีกำลังใจนะครับ ผมเห็นว่า การที่พี่น้องประชาชนนั้นแสดงออกกันอย่างล้นหลามอย่างนี้ แล้วก็ที่เขาแสดงออกมันไม่ใช่ประเด็นเรื่องของการเมืองว่าชอบใคร ไม่ชอบใคร แต่สิ่งที่เขากำลังต่อต้านก็คือ เขารับไม่ได้กับการที่จะยกความผิด ยกโทษให้กับคนทุจริต คอร์รัปชั่น เป็นหลักเลย รวมไปจนถึงการกระทำความผิดที่ร้ายแรงกรณีอื่นๆ แต่ผมคิดว่าเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่นนี้ แสดงออกให้เห็นนะครับว่า ยอมรับกันไม่ได้ว่าความผิดอย่างนี้จะมานิรโทษกรรมกัน"

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง ขั้นตอนของ พรบ.นิรโทษกรรม ขณะนี้กฎหมายจะออกจากสภาผู้แทนราษฎรไปถึงวุฒิสภา ซึ่งขึ้นอยู่ที่ประธานวุฒิสภาว่าจะบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระเมื่อใด แต่ทราบแต่ว่า วันนี้มีการนัดประชุมวุฒิสภาช่วงบ่าย

 

ทั้งนี้ ในส่วนของวุฒิสภา แนวทางแรก ก็สามารถคว่ำกฎหมายได้เลย จะคว่ำในวาระที่ 1 หรือในวาระที่ 3 ถ้าคว่ำ กฎหมายนี้ก็จะถูกส่งกลับมายังที่สภาผู้แทนราษฎร แต่สภาผู้แทนราษฎรจะไม่มีสิทธิ์พิจารณาว่ายืนยันที่จะเอากฎหมายนั้น โดยที่วุฒิสภาคว่ำไปแล้ว ก่อนระยะเวลา 180 วัน ก็คือประมาณ 6 เดือน ครึ่งปี นั่นก็เป็นทางหนึ่ง 

 

แนวทางที่สองวุฒิสภาก็อาจจะผ่าน ถ้าผ่านไม่มีการแก้ไขเลย ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็มีสิทธิของสมาชิกรัฐสภาที่จะยื่นเรื่องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญมั้ย เนื้อหาสาระตราขึ้นโดยชอบหรือไม่ หรือวุฒิสภาผ่าน แต่แก้ไข ถ้าผ่านแต่แก้ไขก็ต้องย้อนกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎรว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ถ้าเห็นด้วยก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ตั้งกรรมาธิการร่วม เพราะฉะนั้นเส้นทางมันไปได้หลายทาง แล้วก็อย่าลืมนะวาระ 1 – 2 – 3  นี่ก็อาจจะมีการเสนอให้พิจารณา 3 วาระรวดก็ได้ 

 

"วันนี้เสียงคัดค้านทั้งหลายนี่แหละครับ จะเป็นตัวสำคัญ ผมก็ยังยืนยันว่า ท่านใดที่เป็นผู้ที่รักประเทศชาติ รักความถูกต้อง ต่อต้านการโกง กรุณาบอก สว. จะด้วยวิธีใดก็ตาม สว.มี 149 คน ถ้าผมจำไม่ผิดหย่อนไปคนนึงอยู่ขณะนี้ ก็ช่วยกันบอกเถอะครับ สื่อสารเถอะครับ สอบถามเถอะครับว่า ตกลงจุดยืนของคุณเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น สว. สรรหา สว. เลือกตั้ง สว.เลือกตั้งก็มีทุกจังหวัด แล้วก็แถมเมื่อ สว. เลือกตั้งนี้ผลักดันให้ตัวเองกลับมาลงเลือกตั้งได้ปีหน้า ผมว่าก็เริ่มจากตรงนี้เลยครับ คาดคั้นกันไปเลยครับว่า ตกลงที่คิดจะมาลงเลือกตั้งอีกนั้น จุดยืนคุณต่อเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นคืออะไร" 

 

นายอภิสิทธิ์ ตอบคำถามเกี่ยวกับแนวโน้มที่รัฐบาลจะยุบสภาว่า หากมีการยุบสภา ตามรัฐธรรมนูญแล้วกฎหมายก็ค้างไว้ ความหมายก็คือว่า ถ้ารัฐบาลไหนกลับมาหลังการเลือกตั้ง อยากจะเดินหน้าต่อ ก็สามารถทำให้เดินหน้าต่อได้ กรณีนี้ก็คือขอให้สภาชุดใหม่นี้ลงคะแนนว่ากฎหมายฉบับนี้ก็เข้าวุฒิสภาไปเลย แต่ว่าถ้าเกิดคนที่ไปเลือกตั้งแล้วรัฐบาลใหม่เข้ามา บอกว่า ไม่เอาแล้วกฎหมายนี้ ไม่ยืนยัน กฎหมายก็ตก เพราะฉะนั้นการยุบสภาในตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้กฎหมายตก เพียงแต่ว่าเปิดโอกาสให้รัฐบาลชุดต่อไปมาตัดสินว่า จะให้ตกหรือไม่

 

นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า กฎหมายนี้ทำลายหลักของกฎหมายหลายเรื่องมาก ลบคำพิพากษาของศาล เอาความผิดซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อรัฐอย่างเดียว ความผิดที่มีผู้เสียหาย ถึงขั้นที่ว่า ญาติพี่น้องเขาบาดเจ็บ ตัวเขาสูญเสียทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งมีการสูญเสียร่างกาย ชีวิตไปแล้ว กฎหมายนี้จะไปบอกว่า ไม่ให้มีการสืบสวน สอบสวน ฟ้องร้องกันอีกต่อไป ตัดตอนทั้งความจริง ตัดตอนทั้งความยุติธรรมทั้งหมด แล้วก็ที่สำคัญก็คือว่า ทำให้การทุจริต คอร์รัปชั่นนั้น รวมไปอยู่ในบรรดาการกระทำความผิดที่จะลบคำพิพากษา หรือว่าทำให้หายไปจากสารบบ เป็นการวางบรรทัดฐานว่าต่อไปนี้ ใครมีอำนาจนี่ทำผิด เป็นถูกได้ ฆ่าก็ได้ ปล้นก็ได้ เผาก็ได้ โกงก็ได้ ถ้ามีอำนาจ ก็มาออกกฎหมายแบบนี้ นี่คืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย

 

“ผมก็อยากจะบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า คุณเป็นคนไทย แล้วคุณก็ได้อะไรเยอะมากจากแผ่นดินนี้ ทั้งที่ชอบ ทั้งที่ไม่ชอบ วันนี้อย่าเอาตัวคุณอยู่เหนือผลประโยชน์ของแผ่นดินนี้เลย ถอยเถอะครับเพื่อความสงบสุข เพื่อความถูกต้อง ทั้ง 2 คนก็ไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่จะต้องยากลำบากอะไรครับ ผมเชื่อว่ามีทางออกในเรื่องนี้นะครับ ถ้าตั้งตัว ตั้งสติได้ เพราะในที่สุดแล้วที่คุณอาจจะประเมินว่า สังคมไทย คนไทยนั้นอาจจะยอมในสิ่งต่างๆ ไปได้ จะด้วยการใช้เล่ห์กลต่างๆ จะด้วยการใช้อำนาจ หรือจะด้วยการใช้เงินนั้น วันนี้ผมว่า สังคมไทยแสดงออกให้เห็นแล้วว่า คุณไม่สามารถที่จะมาครอบงำ แล้วก็ชักจูงสังคมไทยให้เดินไปในทางที่ผิดแบบโจ่งแจ้ง น่าเกลียด อย่างที่กฎหมายฉบับนี้ทำได้ ถอยเถอะครับ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว