บมจ.ไทยออยล์มองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ ( 10 – 14 ก.พ. 57) ยังคงผันผวนอยู่ในกรอบเดิม โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ การประกาศจีดีพีไตรมาส 4/2556 ของสหภาพยุโรปที่มีแนวโน้มดีขึ้น ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสหรัฐฯ ภายหลังอุณหภูมิทั่วสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมากกว่าคาด ความคืบหน้าการกลับมาส่งออกน้ำมันดิบจากลิเบีย รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งในอิรักและซีเรีย

 

ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

 

จีดีพีไตรมาส 4/2556 สหภาพยุโรป ซึ่งจะแสดงถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ โดยจีดีพีไตรมาสที่ 3/2556 สหภาพยุโรปอยู่ที่ขยายตัว 0.1%

 

ติดตามรายงานประจำเดือนของ IEA, EIA และ OPEC ว่าจะมีมุมมองต่อความต้องการใช้น้ำมันและอุปทานน้ำมันโลกอย่างไร ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจของผู้ใช้น้ำมันหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มส่อเค้าท่าทีชะลอตัว

 

อุณหภูมิที่ปรับลดลงมากกว่าคาดทั่วสหรัฐฯ อันเป็นผลให้ความต้องการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเพื่อการทำความร้อนพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันกลุ่มดีเซลคงคลังในสหรัฐฯ ปรับลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังต้องมีการนำเข้าน้ำมันกลุ่มดีเซลจากโรงกลั่นในสหภาพยุโรปเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการอีกด้วย

 

ความคืบหน้าการกลับมาส่งออกน้ำมันดิบของลิเบียจากท่าเรือฝั่งตะวันออกของประเทศ ภายหลังจากการเจรจาตกลงแบ่งสรรผลประโยชน์ และหลุมน้ำมันดิบหลัก El Sharara กลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง หลังจากจำเป็นต้องปิดซ่อมชั่วคราว เนื่องจากปัญหาทางสภาพอากาศ

 

ความรุนแรงกรณีความขัดแย้งทางศาสนาในอิรัก รวมไปถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลซีเรียและกลุ่มผู้ต่อต้านที่ยังคงทวีความรุนแรง สร้างความกังวลต่อความสามารถในการส่งออกน้ำมันดิบของทั้งสองประเทศดังกล่าว

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ยอดการผลิตภาคอุตสาหกรรม และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหภาพยุโรป รวมไปถึงดัชนีภาคการบริการและดุลการค้าจีน

 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 – 7 ก.พ. 57)

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 99.88 เหรียญฯ ส่วนเบรนท์ปรับลดลง 1.62 เหรียญฯ ปิดที่ 109.57 เหรียญฯ ขณะที่ดูไบปรับลดลงเช่นกันมาอยู่ที่ประมาณ 103 เหรียญฯ

 

ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งภาคการจ้างงานและภาคการผลิต ความต้องการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเพื่อทำความร้อนในสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่ปรับตัวลดลงทั่วประเทศ รวมไปถึงการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำของธนาคารกลางยุโรป อย่างไรก็ดีตัวเลขจีนที่ออกมาไม่สู้ดีนัก กอปรกับภาวะอุปทานตึงตัวในลิเบียที่มีทีท่าคลี่คลายลงยังคงเป็นปัจจัยกดดันไม่ให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงมากนัก