กลยุทธ์วันนี้ Selective Buy
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งในกรอบแคบ ปิด ณ สิ้นวันที่ 1,422.67 จุด ลบ 0.72 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 36,092 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 11 วันทำการ เพียง 125 ล้านบาท ด้าน Index Futures กลับมา Long สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 745 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีก 3,673 ล้านบาท
MBKET ประเมิน SET INDEX วันนี้แกว่งระหว่าง 1,420-1,430 จุด ใกล้เคียงกับวานนี้ เพราะเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ บวกกับปัจจัยหลักๆ จะอยู่ในสัปดาห์หน้า ทั้งประเด็นการเมือง และการประชุมธนาคารกลางที่สำคัญ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ ชะลอการลงทุน เพื่อรอดูภาพทางด้านปัจจัยพื้นฐาน ประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ได้แก่ การประชุม BoJ / FOMC วันที่ 30 เม.ย. ต่อประเด็น QE ทั้ง 2 ธนาคารกลาง รวมถึงตัวเลขส่งออก – การบริโภคเดือนมี.ค.ของไทย และความคืบหน้าด้านการเมือง
ดังนั้น Downside Risk ของตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นนี้จึงเป็นไปอย่างจำกัด จากปัจจัยข้างต้น บวกกับ ต้นทุนทางการเงินของไทย ผ่าน Bond Yield อายุ 10 ปีวานนี้ปิดที่ 3.586% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 หรือก่อนเกิดเหตุทางการเมือง ย่อมสะท้อนกระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าไทยต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้นนี้ MBKET แนะนำให้ “เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง แบบจำกัดวงเงิน” ต่อหุ้นที่มีประเด็นเชิงบวกต่อการลงทุนเฉพาะหุ้นนั้นๆ หุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร และ ICT ควรชะลอการลงทุน หลังราคาหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “เก็งกำไร” BLAND / TRUE และ “ขายทำกำไร” SPCG
Portfolio
Top Pick in 2Q14: SAMART / GOLD
HOLD: SCC/ SPALI/ TTA/ SAMART
Speculative Buy: BLAND/ TRUE
Profit-Taking: SPCG
Technical View
แนวรับ 1415 +/- และ 1410 จุด แนวต้าน 1428 +/- และ 1440 +/- จุด คงมองโอกาสติดแนวปะทะ 61.8% ล่าสุดยกตัวขึ้นมาอยู่แถว 1428 +/-
Action and Stock of the Day
SET INDEX แกว่งในกรอบแคบ แต่วอลุ่มหนาแน่น
ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปิดลบเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Nikkei -0.97% วานนี้ เพราะคาดว่า BoJ อาจไม่เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสั้นนี้
ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ แกว่งในกรอบระหว่าง 1,420 – 1,427 จุด ทั้งนี้หุ้นหลักในกลุ่มธนาคารเริ่มโดนขายทำกำไรมากขึ้น เช่น KBANK, BBL, SCB, KTB เป็นต้น ภาพรวมตลาดเลือกเก็งกำไรเป็นรายตัวมากขึ้น เช่น ADVANC, BGH, TTA, ICHI เป็นต้น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบ 0.72 จุด มาอยู่ที่ 1,422.67 จุด มูลค่าการซื้อขาย 36,092 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกเด่นสุดวานนี้ ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +2.37%, กลุ่ม ICT +1.25% และกลุ่มโรงพยาบาล +1.25% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคาร -1.68%, กลุ่มพลังงาน -0.14% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.09%
SET INDEX วันนี้ยังคงแกว่งในกรอบ1,420-1,430 จุด
คาดหุ้นขนาดกลางเด่น หุ้นใหญ่พัก
กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรหุ้นกลาง แบบจำกัดวงเงิน
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชียเช้าวันนี้ (7.32 น) ตลาดหุ้น Nikkei และ Kospi เปิดลบเล็กน้อย เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุน อีกทั้ง DJIA Futures ปรับตัวลงในเช้านี้
MBKET คงน้ำหนักการลงทุนเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 24 พร้อมภาพแกว่งระหว่าง 1,420-1,430 จุด หุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารจะยังพักฐานต่อเนื่องจากวานนี้ เพียงแต่ในช่วงสั้น Downside Risk ของ SET INDEX ยังคงจำกัด จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ YTD นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 7,318 ล้านบาท
นอกจากนี้ หากประเมินจาก EPS ปี 2557 ของตลาดหุ้นไทย / การเติบโตของกำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยในปีนี้ / Upside Gain ของหุ้นหลัก ณ ปัจจุบัน มี Upside gain ที่จำกัดในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น นักลงทุนที่เข้าเก็งกำไรรอบล่าสุดนับตั้งแต่ระดับ 1,380 จุดในปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา อาจพิจารณา ขายทำกำไร หุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร และ กลุ่ม ICT ซึ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และกลับเข้าเก็งกำไร แบบ จำกัดวงเงิน ในหุ้น Laggard ขนาดกลางที่มีประเด็นเชิงบวกเฉพาะตัว
ประเด็นบวกช่วงสั้นได้แก่
ปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ได้แก่
ECB เป็นครั้งที่ 2 ที่ส่งสัญญาณพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินส่วนเกิน หรือ QE เมื่ออัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะทรงตัวในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
BoJ จับตากการประชุมวันที่ 30 เม.ย. นี้ว่าจะพิจารณาเพิ่มวงเงิน QE จากปัจจุบันที่ Yen7.0 แสนล้านเยน/ปี หรือไม่
FOMC ประชุมวันที่ 29-30 เม.ย.นี้ อาจพิจารณาคงวงเงิน QE ที่ US$5.5 หมื่นล้าน/เดือน หลังตัวเลขการจ้างงานเริ่มชะลอโมเมนตัมเชิงบวก
จีน อาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ล่าสุดธนาคารกลางจีน ประกาศลด RRR ของธนาคารท้องถิ่นบางแห่ง
ความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ เชื่อว่าได้ผ่านจุดวิกฤติไปแล้ว เพียงแต่รอพัฒนาการทั้งจาก กกต. / ศาลฯ / ปปช. น่าจะเห็นภาพชัดในช่วงครึ่งแรกของเดือนพ.ค.
อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินว่าการปรับประมาณการกำไรในปี 2557-2558 จะเกิดขึ้นมากขึ้นในช่วง 1 เดือนจากนี้ไป เพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่เริ่มทยอยประกาศอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1. ECB ส่งสัญญาณพร้อมออก QE: แม้ว่าวานนี้จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% และไม่เพิ่มมาตรการใดๆ อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB ส่งสัญญาณพร้อมออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม ทั้งที่เป็นนโยบายการเงินแบบปกติ และ นโยบายการเงินแบบพิเศษ อย่าง QE หากอัตราเงินเฟ้อของอียูลดลงสู่ระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของอียู เท่ากับ 0.5% เทียบกับเป้าหมายระยะยาวที่ 2.0%
2. ต้นทุนการเงินไทยต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556: หากพิจารณาจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 10 ปี วานนี้ปิดที่ 3.586% เป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2556 หรือก่อนเกิดความเสี่ยงทางการเมืองในช่วงปลายเดือนต.ค. สะท้อนสภาพคล่องทางการเงินในระบบการเงินโลกยังคงล้น และไหลเข้าตลาดตราสารหนี้เกิดใหม่ รวมถึงตลาดตราสารหนี้ไทย
MBKET มีความเห็นเป็นบวกต่อต้นทุนทางการเงิน เพราะหาก Risk Free Rate ของประเทศปรับตัวลง ย่อมเป็นบวกต่อต้นทุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ของประเทศไทย รวมถึง ตลาดหุ้นไทย จึงไม่น่าแปลกใจที่ เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย
3. ประเด็นสำคัญสัปดาห์หน้า ให้น้ำหนักกับการประชุมธนาคารกลาง:
ประเด็นการเมืองในประเทศ
i. ปปช. เตรียมพิจารณาถอดถอน 308 สส. – สว. กรณีแก้ไขมาตรา 68 หรือไม่ ในวันที่ 29 เม.ย.
ii. การหารือระหว่าง กกต. และ รัฐบาล วันที่ 30 เม.ย. เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เบื้องต้น กกต. เสนอวันที่ 20 ก.ค.
iii. การเข้าชี้แจงของนายกฯ รักษาการ ยิ่งลักษณ์ กรณีโยกย้าย นายถวิล ต่อศาล รัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 2 พ.ค.
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออก จะฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่ และ การบริโภคภายในประเทศ ได้ผ่านจุดต่ำสุดในเดือนมี.ค.หรือไม่ เพราะถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจใน 2Q57
การประชุมธนาคารกลางที่สำคัญ
i. BoJ: วันที่ 30 เม.ย. ประเด็นสำคัญคือ การขยายวงเงิน QE จากปัจจุบัน 7.0 แสนล้านเยน/ปี หรือไม่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าคาดต่อเนื่อง
ii. FOMC: วันที่ 29-30 เม.ย. ทั้งนี้ตลาดให้น้ำหนักกับการพิจารณาลดวงเงิน QE ในรอบนี้ จากปัจจุบัน US$5.5 หมื่นล้าน/เดือน
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1. BLAND : ราคาปิด 1.67 บาท ราคาเหมาะสม 2.80 บาท
a) MBKET เชื่อว่าราคาหุ้น BLAND จะ Outperform ตลาดได้ในช่วงที่เหลือของเดือน เม.ย. จากความคาดหวังเชิงบวกต่อการจัดตั้งกองทุน REIT ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 2Q57
b) และส่งผลบวกโดยตรงต่อปัจจัยพื้นฐานของ BLAND โดยคาดว่าบริษัทได้รับเงินสดสุทธิเข้ามาถึง 8,000 ล้านบาท (0.38 บาท / หุ้น) และมีกำไรพิเศษราว 3,000 ล้านบาท (0.14 บาท / หุ้น) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่จะเปลี่ยนเป็นเชิงรุกตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป
c) คาดกำไรสุทธิ 4Q56 (ม.ค. – มี.ค.) จะเติบโตสูง yoy เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียม Double Lake จะมีกำไรพิเศษคดีหมดอายุความของหุ้นกู้ต่างประเทศมูลค่า 3,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยบันทึกกำไรพิเศษใน 4Q56 และ 1Q57 ราวไตรมาสละ 1,500 – 2,000 ล้านบาท
d) ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 2.26 บาท และคาดการณ์เงินปันผลปี 2556 หุ้นละ 0.03 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 2%
*** บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด มีธุรกิจกับบริษัทในเครือหรือบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ บมจ.บางกอกแลนด์ (BLAND)
2. TRUE : ราคาปิด 7.00 บาท ราคาเหมาะสม 12.70 บาท
a) TRUE จะมีการจัดประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นในวันนี้ และคาดว่าจะเป็นประเด็นบวกเก็งกำไรระยะสั้นได้ เนื่องจากจะมีการขออนุมัติผู้ถือหุ้น เพื่อแก้ไขข้อบังคับ “ข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยต่างด้าว” และเปิดทางให้บริษัทสามารถหาพันธมิตรร่วมทุนต่างชาติได้
b) ขณะที่ประเด็นข่าวเพิ่มทุนที่ตลาดกังวลวานนี้ เราเชื่อว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด เนื่องจากทั้ง 8 วาระที่จะนำเสนอเข้าประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ TRUE ได้แจ้งต่อตลท.ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา และไม่มีวาระใดเกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุน
c) คาดผลขาดทุนใน 1Q57 จะลดลงมาก qoq จากการเริ่มใช้โปรแกรมควบคุมค่าใช้จ่าย และส่งผลให้ EBITDA ใน 1Q57 กลับมายืนเหนือระดับ 4,000 ล้านบาท ได้ในรอบ 3 ไตรมาสที่ 4,536 ล้านบาท หรือ +36% qoq และคาดว่าค่าใช้จ่ายทุกบรรทัดจะลดลงต่อเนื่องใน 2Q57 เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่เห็นผลเต็มไตรมาสของการควบคุมค่าใช้จ่าย
d) ราคาหุ้น Laggard มาก โดย YTD หุ้น TRUE -6.7% เทียบกับ ADVANC +22.3% และ DTAC +26.8% ขณะที่ SET ICT +17.6% และ SET INDEX +9.5%
What will DJIA move tonight?
คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี Consumer sentiment และดัชนี Flash PMI ภาคบริการ
ข่าวเด่น