หลังธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีมติลดมาตรการ QE ลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เมื่อคืนวาน (30 ก.ค.) ตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐ ปิดตลาด ร่วงลง 31.75 จุด ที่ดัชนี 16,880.36 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.19% ขณะที่ดัชนี NASDAQ สามารถดีดตัวขึ้นไปได้บวกถึง 20.20 จุด ที่ดัชนี 4,462.90 จุด หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.45% ส่วนดัชนี S&P500 แม้จะยืนได้ในแดนบวก แต่เพิ่มขึ้นเพียง 0.12 จุด ที่ดัชนี 1,970.07 จุด หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.01%
หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงเดินหน้าปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ได้ส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนมองว่าไม่เห็นสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 2 ปีนี้ ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 4% ก็ตาม
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดัน หลัง ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 218,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบ หลังมีรายงานแจ้งว่ารัฐบาลสหรัฐและกลุ่มประเทศอียูประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในยูเครน และรัสเซียยังคงให้ความช่วยเหลือกลุ่มกบฏในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วยุโรปปิดตลาด ดัชนีร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 ก.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.5% ปิดที่ 340.44 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ลบ 53.28 จุด ปิดที่ 4,312.30 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 1.22%,ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 9,593.68 จุด ลบ 59.95 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.62% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ร่วงลง 34.31 จุด ปิดที่ 6,773.44 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.50%
ข่าวเด่น