นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ชี้แจงว่าจากกรณีที่ได้มีข่าวว่า มีร้านรับแลกซื้อเหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 10 บาทที่ผลิตในปี 2533 ในราคาเหรียญละ 100,000 บาท เนื่องจากมีจำนวนผลิตเพียง 100 เหรียญเท่านั้น
กรมธนารักษ์ขอเรียนชี้แจงว่า กรมธนารักษ์ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท โลหะสองสี ผลิตออกใช้ในปี พ.ศ.2531 เป็นครั้งแรก โดยกรมธนารักษ์ผลิตเอง จำนวน 60,200 เหรียญ ต่อมาในปีพ.ศ. 2532 เพื่อให้มีเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี ชนิดราคา 10 บาท เพียงพอต่อการใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจซึ่งสำนักกษาปณ์กรมธนารักษ์ยังไม่สามารถผลิตได้ด้วยตนเองในจำนวนที่มากพอ จึงได้สั่งซื้อเหรียญ 10 บาท สำเร็จรูปจาก The Italian State Mint ประเทศอิตาลี จำนวน 100 ล้านเหรียญ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบให้กับกรมธนารักษ์ในปี พ.ศ.2532-2533
ดังนั้น ในปีพ.ศ. 2533 กรมธนารักษ์ได้มีการสั่งซื้อเหรียญตัวเปล่า 10 บาท จาก บริษัท Olinbrass ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ล้านเหรียญ เพื่อมาตีตราเป็นเหรียญสำเร็จรูปเอง แต่เมื่อปรากฎว่าเหรียญ 10 บาทที่ซื้อเข้ามาในปีพ.ศ. 2532 ประชาชนไม่นิยมแลกไปใช้ เนื่องจากยังมีธนบัตร ราคา 10 บาท ที่ยังผลิตให้ประชาชนได้ใช้อยู่ กรมธนารักษ์จึงไม่ได้ผลิตเหรียญชนิดราคา10บาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม
นายนริศ ชี้แจงเพิ่มเติมว่าในปีพ.ศ.2533 นั้น กรมธนารักษ์ได้เข้าร่วมการประชุม Mint Directors Conference (MDC) ครั้งที่ 16 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ จึงได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 10 บาท ขึ้น เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นตัวแทนจากโรงกษาปณ์รัฐบาลของประเทศต่างๆ และมีผู้จำหน่ายเครื่องมือ เครื่องจักรต่างๆ เกี่ยวกับเหรียญเข้าร่วมด้วย ซึ่งเหรียญกษาปณ์ ชนิดราคา 10 บาทที่กรมธนารักษ์ผลิตในปีพ.ศ.2533 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปมอบเป็นที่ระลึกในการประชุม MDC ให้แก่ชาวต่างประเทศทุกคนที่เข้าร่วมการประชุม โดยจัดทำเป็นแผงเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน
สำหรับเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 10 บาท ที่กรมธนารักษ์ผลิตเอง จำนวน 100 เหรียญ กรมธนารักษ์จะตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าได้มีการมอบเป็นที่ระลึกแก่ที่ประชุม MDC ทั้งหมดหรือไม่ อย่างไร และจะได้ชี้แจ้งให้สื่อมวลชนทราบต่อไป นายนริศ ชัยสูตร กล่าวชี้แจงในตอนท้าย
ข่าวเด่น