บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโลกเมื่่อคืนนี้(22 กันยายน)ได้รับปัจจัยลบจากความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะเผชิญกับภาวะชะลอตัวในเร็วๆ นี้ หลังรัฐมนตรีคลังของจีนออกมาส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แม้จีนกำลังเผชิญแรงกดดันในช่วงเศรษฐกิจขาลง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นสำคัญๆของโลกเมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลงอย่างแรง โดยเฉพาะตลาดหุ้นนิวยอร์ก ที่ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงระนาว 107.06 จุด ปิดที่ 17,172.68 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.62% ขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลง 52.10 จุด ปิดที่ 4,527.69 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 1.14% และดัชนี S&P500 ลบ 16.11 จุด ปิดที่ 1,994.29 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.80%
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีก็ปิดลบในทุกตลาดไม่แพ้ตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.5% ปิดที่ 346.69 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 9,749.54 จุด ลบ 49.72 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.51% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,442.55 จุด ลบ 18.67 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.42% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,773.63 จุด ลบ 64.29 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 0.94%
คำกล่าวของนายโหลว จี้เหว่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีน ดูจะมีอิทธิพลและมีผลต่อตลาดค่อนข้างมาก โดยเขาระบุว่า"
จีนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายขนานใหญ่ แม้เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันในช่วงขาลงก็ตาม" เพราะทันทีที่กระแสข่าวออก
มา นักลงทุนในตลาดหุ้นโลกต่างพร้อมใจกันเทขายหุ้น และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งก็คือ ทองคำ ที่เมื่อคืน บวกขึ้นไป 1.3 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,217.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นอีก
นอกจากปัจจัยที่นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจจีนอาจจะชะลอตัวในเร็วๆ นี้แล้ว และผลกระทบย่อมเกิดขึ้นกับทุกประเทศในโลกที่ป้อนสินค้าเข้ามาขายในตลาดจีน ตลาดหุ้นโลกยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลภาคที่อยู่อาศัยที่ย่ำแย่ของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนส.ค.ลดลง 1.8% สู่ระดับ 5.05 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นแตะ 5.20 ล้านยูนิต
ข่าวเด่น