หลังจากที่ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศ 5 ชาติพันธมิตรในกลุ่มอาหรับ ประกอบด้วย บาห์เรน จอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกา ในการทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ IS เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น (22 กันยายน)
ซึ่งโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (เพนตากอน) ออกมาแถลงความสำเร็จในวันรุ่งขึ้น (อังคารที่ 23 กันยายน) ระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวสามารถทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายหลายแห่งในเขตที่มั่นภาคเหนือของซีเรียและพื้นที่ใกล้ชายแดนอิรัก ซึ่งรวมถึง ที่ตั้งของนักรบ ฐานฝึก ศูนย์บัญชาการ และยานรบ
ขณะที่ประธานาธิบดี "บารัค โอบามา" ของสหรัฐอเมริกา ก็ออกมายกย่อง 5 ชาติพันธมิตรในกลุ่มอาหรับ ที่ร่วมสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกลุ่มนักรบ IS โดยระบุว่า "สหรัฐฯไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง สหรัฐฯภาคภูมิใจที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาติต่างๆ เหล่านั้น"
ล่าสุดได้รับการเปิดเผยจากกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย หรือ กลุ่ม SOHR ที่มีสำนักงานอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รายงานการเกิดเหตุการณ์ "ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐและกลุ่ม 5 ชาติพันธมิตรอาหรับ ว่าปฎิบัติการในระยะแรก เน้นการทำลายเส้นทางลำเลียงเสบียงและสรรพาวุธ รวมถึงศูนย์บัญชาการและศูนย์กำลังพลของกลุ่ม IS โดยสามารถทำลายเป้าหมายได้อย่างน้อย 20 จุด และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 38 ศพ เป็นพลเรือน 8 ศพ มีเด็กและสตรีรวมอยู่ด้วย ส่วนอีก 30 ศพเป็นนักรบของกลุ่มอัล-นุสรา เครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯส่งหนังสือแจ้งเรื่องภารกิจทางทหารให้รัฐบาลดามัสกัสรับทราบผ่านสำนักงานผู้แทนถาวรซีเรียประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งทางการซีเรียยินดีให้ความร่วมมือในเบื้องต้น ด้วยการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว โดยการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯเน้นเมืองรักกาที่อยู่ทางเหนือเป็นหลัก
ทั้งนี้ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทำสงครามต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียและอิรัก อย่างไรก็ตาม กลุ่ม IS ก็พยายามตอบโต้ด้วยความรุนแรง ผ่านการเผยแพร่คลิปวิดีโอการฆ่าตัดศีรษะชาวอเมริกันและอังกฤษ จำนวน 3 ราย
ข่าวเด่น