ตลาดหุ้นโลกปิดเมื่อคืนนี้ (12 มีนาคม 2558) ปรับตัวสวนทางกัน ระหว่างตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นแรง กับตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลง อันเป็นผลมาจากการที่ยอดค้าปลีกของสหรัฐเดือนก.พ.หดตัวลง 0.6% สู่ระดับ 4.37 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมองว่าการปรับตัวลงของยอดค้าปลีกสหรัฐ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการร่วงลงของยอดค้าปลีกยังช่วยสกัดการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์อีกด้วย ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืนนี้ที่ 17,895.22 จุด พุ่งขึ้น 259.83 จุด หรือ +1.47% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,893.29 จุด เพิ่มขึ้น 43.35 จุด หรือ +0.89% ขณะดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,065.95 จุด เพิ่มขึ้น 25.71 จุด หรือ +1.26%
แต่ทางด้านตลาดหุ้นยุโรปกลับปิดลบเมื่อคืนนี้ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.03% ปิดที่ 395.36 จุด , ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,987.33 จุด ลดลง 10.42 จุด หรือ -0.21% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 11,799.39 จุด ลดลง 6.60 จุด หรือ -0.06% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,761.07 จุด เพิ่มขึ้น 39.56 จุด หรือ +0.59% ซึ่งเป็นผลจากการยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ลดลง แต่การปรับตัวลงของตลาดหุ้นยุโรปเป็นเพียงเล็กน้อย เนืื่องจากมีปัจจัยเรื่องธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบีมาช่วยประคองตลาดไม่ให้ร่วงไปมากกว่านี้ โดยนักลงทุนขานรับการที่อีซีบีดำเนินมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่อง (QE) ด้วยการซื้อพันธบัตร 6 หมื่นล้านยูโร พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการ QE นานกว่ากำหนดเดิม
ข่าวเด่น