ตลาดหุ้นโลกเมื่อคืน (1 เมษายน) ปิดตลาดสวนทางกันระหว่างตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดหุ้นยุโรป โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากข้อมูลภาคการผลิตที่ซบเซาของสหรัฐ จากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค.อยู่ที่ระดับ 51.5 ลดลงจากระดับ 52.9 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากยอดสั่งซื้อในภาคการผลิตชะลอตัวลง ทำให้ดาวโจนส์ปิดเมื่อคืนปรับตัวลดลง 77.94 จุด ที่ดัชนี 17,698.18 จุด หรือลดลง 0.44% ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,880.23 จุด ลดลง 20.65 จุด หรือ -0.42% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,059.69 จุด ลดลง 8.20 จุด หรือ -0.40%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดเมื่อคืน ปรับขึ้น 0.3% ปิดที่ 398.52 จุด และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 5,062.22 จุด เพิ่มขึ้น 28.58 จุด หรือ +0.57% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 12,001.38 จุด เพิ่มขึ้น 35.21 จุด หรือ +0.29% ,ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,809.50 จุด เพิ่มขึ้น 36.46 จุด หรือ +0.54%

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากข้อมูลภาคการผลิตของยูโรโซน ที่ผลสำรวจระบุดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 52.2 ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 10 เดือน จากระดับ 51.0 ในเดือนก.พ. และยังสูงกว่าตัวเลขการประเมินเบื้องต้นที่ 51.9  ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของเยอรมนีในเดือนมี.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 52.8 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 จาก 51.1 ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นบาร์เคลย์ส ที่พุ่งขึ้น 2.8%