ตลาดหุ้นโลกปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมา (1 มิถุนายน 2558) สดใสขึ้นทั้งตลาดหุ้นนิวยอร์กและยุโรป โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 18,040.37 จุด เพิ่มขึ้น 29.69 จุด หรือ +0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,082.93 จุด เพิ่มขึ้น 12.90 จุด หรือ +0.25% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,111.73 จุด เพิ่มขึ้น 4.34 จุด หรือ +0.21%
โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวก จากแรงหนุนการรายงานของสถาบันจัดการด้าน อุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.8 จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 51.5 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ทางการสหรัฐยังเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนเม.ย.ขยายตัว 2.2% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดจะเพิ่มขึ้น 0.7% อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและจับตาดูสถานการณ์หนี้สินของกรีซอย่างใกล้ชิด
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมา (1 มิถุนายน 2558) ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.2% ปิดที่ 400.57 จุด , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 11,436.05 จุด เพิ่มขึ้น 22.23 จุด หรือ +0.19% , ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 5,025.30 จุด เพิ่มขึ้น 17.41 จุด หรือ +0.35% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,953.58 จุด ลดลง 30.85 จุด หรือ -0.44%
โดยสาเหตุที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากขานรับข้อมูลภาคการผลิตของสหรัฐ ซึ่งสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.8 จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 51.5 ซึ่งนอกจากจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์แล้ว ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ยังขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 29
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ โดยกรีซมีกำหนดจะต้องชำระหนี้คืน IMF ในงวดเดือนมิ.ย. ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 5-19 มิ.ย. มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์
ข่าวเด่น