+ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ที่ประกาศโดยสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานของสหรัฐฯ (API) ปรับตัวลดลง 3.2 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มาสู่ระดับ 467 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และเป็นการลดลงที่มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ปรับตัวลดลง 2 ล้านบาร์เรล และตลาดยังคงจับตามองตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่จะประกาศโดยสำนักงานพลังงานสากล (EIA) ในคืนนี้ว่าจะลดลง 2.1 ล้านบาร์เรลตามที่คาดการณ์หรือไม่ รวมถึงการคาดการณ์ปริมาณน้ำมันเบนซินที่จะปรับตัวลดลง 300,000 บาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล
+ ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ส่งผลผลักดันให้ราคา น้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นตามเช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่ปรับตัวลดลงถึง 300,000 บาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในสหรัฐฯ ทำให้โรงกลั่นเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมัน ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
+ อิหร่านได้ผ่านร่างกฎหมายที่จะไม่ให้ U.N. เข้ามาสำรวจสถานที่เกี่ยวกับการทหารและนักวิจัยต่างๆ ของอิหร่าน ส่งผลให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงตามสัญญา ซึ่งมีการกำหนดวันสุดท้ายไว้ที่ 30 มิ.ย. 58 นี้ และอาจจะส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่านด้วยเช่นกัน
- ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ปรับลดลง -1.8% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ -0.6% ซึ่งเป็นการปรับลดเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 เดือน และเป็นการส่งสัญญาณว่าภาคธุรกิจมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ (Markit PMI) เดือน มิ.ย. ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาสู่ระดับ 53.4 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 3 และเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ต.ค. 56 โดยเป็นการปรับตัวลดลงสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นเป็น 54.2
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณอุปสงค์ในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะจากอินเดียที่ลดการนำเข้าลงหลังจากการเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงของ โรงกลั่นในอินเดีย ประกอบกับช่วงมรสุมในขณะนี้ ส่งผลให้อุปสงค์เริ่มปรับตัวลดลง
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศจีนและไทย ประกอบกับการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นในตะวันออกกลางและจีน ทำให้มีอุปทานส่วนเกินในภูมิภาคมากขึ้น
ทิศทางราคาน้ำมันดิบ
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 58-63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 61-66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
การแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้กรีซที่ยังไม่มีข้อสรุปจะส่งผลกดดันราคาน้ำมัน ต่อไปหรือไม่ โดยล่าสุดยังไม่มีแนวโน้มว่ากรีซจะสามารถหาเงินมาชำระหนี้งวดล่าสุดให้แก่ IMF ราว 1.6 พันล้านยูโร ได้ทันก่อนเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ หลังการเจรจาร่วมระหว่างกรีซและกลุ่มเจ้าหนี้ล้มเหลวไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน มา โดยทั้งสองฝ่ายยังคงตกลงกันไม่ได้ในเรื่องแผนปฎิรูปของกรีซ การลดเงินบำเน็ญบำนาญและเงินเดือนของข้าราชการ
การผลิตน้ำมันในลิเบียที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 432,000 บาร์เรลต่อวัน ไปแตะระดับ 800,000 บาร์เรลต่อวัน หลังรัฐบาลลิเบียพยายามที่จะกลับมาเปิดดำเนินการแหล่งผลิต El Sharara และ El Feel รวมถึงท่าเรือ Zueitina ใหม่อีกครั้ง ซึ่งอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนี้อาจส่งผลกดดันราคาน้ำมัน
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังโรงกลั่นหลายแห่งเพิ่มกำลังผลิตขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่คาดว่า จะเพิ่มมากขึ้น ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวหน้าร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งจะอยู่ระหว่างเดือน มิ.ย. – ส.ค. ของทุกปี อาจส่งแรงหนุนต่อราคาน้ำมัน
จับตาทิศทางเศรษฐกิจและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำช่วง 0-0.25% ต่อไป ในการประชุมที่ผ่านมา ขณะที่ FED ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ โดยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2558 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวที่ราว 1.8%-2.0%
ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตาม
วันจันทร์ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน - มิ.ย.
วันอังคาร ดัชนีภาคการผลิตจีน - มิ.ย.
ดัชนีภาคการผลิตยูโรโซน - มิ.ย.
ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ - พ.ค.
ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ - มิ.ย. (Markit PMI)
วันพุธ จีดีพีไตรมาส 1/58 สหรัฐฯ
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ - 19 มิ.ย.
วันศุกร์ ดัชนีความอ่อนไหวของประชากรสหรัฐฯ - พ.ค.
ข่าวเด่น