ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับลดลงต่อเนื่อง หลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันเบนซินสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง โดยตลาดมองว่าปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกินในตลาด หลังฤดูกาลท่องเที่ยวหน้าร้อนของสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาล โดยปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงอาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบปรับตัวลดลงตามไปด้วย - จำนวนหลุมขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด Bager Hughes รายงานหลุมขุดเจาะเพิ่มขึ้นอีก 6 หลุมในแหล่ง Permian, Bakken และ Eagle Ford โดยขณะที่มีหลุมที่ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้นราว 670 หลุม อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังเชื่อว่าจำนวนหลุมที่เพิ่มขึ้นนี้ได้มีการตัดสินใจตั้งแต่ช่วงที่ราคาน้ำมันดิบขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 60 เหรียญฯ เมื่อเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งมองว่าราคาน้ำมันที่ระดับปัจจุบันอาจไม่สูงพอที่จะจูงใจให้ผู้ผลิตตัดสินใจกลับมาผลิตเพิ่มเติมมากนัก - รอยเตอร์ล่าสุดยังคงปรับเพิ่มคาดการผลิตน้ำมันดิบแถบทะเลเหนือเดือน ก.ย. ขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดในปีนี้ที่ระดับ 1.99 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 5.6% จากเดือนนี้ ส่งผลต่อความกังวลของภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดมากขึ้น ทั้งส่งผลกดดันราคาน้ำมัน Dated Brent เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลมากขึ้นเพราะกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ตรงกับช่วงที่โรงกลั่นหลายแห่งในยุโรปเตรียมเข้าสู่ฤดูการปิดซ่อมบำรุง - ธนาคารฝรั่งเศสรายใหญ่ Societe Generale ออกมาปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์และเวสต์เท็กซัสลงหลังอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มล้นตลาดต่อเนื่อง โดยมองว่าราคาน้ำมัน Brent และ WTI จะเฉลี่ยที่ระดับ 57.3 และ 51.7 เหรียญฯ ในปีนี้ และระดับ 60 และ 55 เหรียญฯ ในปีหน้า นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเบรนท์ในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้จะลดลงมาเฉลี่ยที่ระดับ 53.1 และ 57.5 เหรียญฯ ตามลำดับด้วย - อัตราการว่างงานสหรัฐฯ เดือน ก.ค. ยังคงยืนอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี ที่ 5.3% ทั้งนี้สืบเนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ที่รายงานไปก่อนหน้าแม้จะเพิ่มขึ้นน้อยแต่ก็ยังถือว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง สวนทางกับภาคเหมืองแร่ที่การจ้างงานลดลง ซึ่งตลาดแรงงานที่ยังอยู่ในระดับที่ดีนี้อาจเป็นแรงจูงใจให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น
ข่าวเด่น