ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อวานนี้ (24ส.ค.58) ยังคงทรุดตัวอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวจนอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาด ร่วงแรง 588.40 จุด ที่ 15,871.35 จุด หรือเปลี่ยนแปลงลดลง 3.57% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,526.25 จุด ดิ่งลง 179.79 จุด หรือ -3.82% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,893.21 จุด ลดลง 77.68 จุด หรือ -3.94% โดยหุ้นกลุ่มที่ร่วงลงอย่างหนัก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน  กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบ กลุ่มการเงิน โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลงถึง 5.2%

โดยนักลงทุนตื่นตระหนกจากตลาดหุ้นทั่วโลกถูกกระหน่ำเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนที่ดิ่งลงไปกว่า 8% แม้มีรายงานว่าทางการจีนเปิดทางให้กองทุนบำเหน็จบำนาญสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ก็ตาม นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กตัดสินใจออกมาตรการเฉพาะกิจ ห้ามไม่ให้ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ทำการเผยแพร่เครื่องบ่งชี้ราคาก่อนตลาดเปิด ซึ่งนับเป็นความความพยายามที่จะทำให้ตลาดเปิดการซื้อขายได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วขึ้นในวันซื้อขายที่เต็มไปด้วยความผันผวน อย่างไรก็ตามตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐและจีน โดยมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ภาคการผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีในเดือนส.ค. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนส.ค. ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกันไคซิน อยู่ที่ระดับ 47.1 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก.ค.ที่ระดับ 47.8
  

สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนจับตาดูในวันนี้ คือราคาบ้านของสหรัฐในเดือนมิ.ย.จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนส.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.จาก Conference Board และดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดสาขาริชมอนด์