+ ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้น Wall Street ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 วันที่ผ่านมา หลังจากการผ่อนคลายความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของจีนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐฯ เดือน ก.ค. ปรับตัวลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศสำหรับรถยนต์และสินค้าด้านอุตสหกรรมของสหรัฐฯ และดัชนีภาคบริการสหรัฐฯ Markit PMI เดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือน มาแตะระดับ 56.1 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ส่งผลให้ตลาดจับตามองว่าเมื่อไหร่การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเกิดขึ้น
+ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาประกาศว่าพร้อมที่จะอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงิน 1.1 ล้านล้านยูโร เพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อให้ฟื้นตัวจากระดับต่ำไปสู่เป้าหมายที่ 2% โดยนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรปได้ระบุว่า ECB มีความพร้อมที่จะปรับขนาด, สัดส่วนการซื้อพันธบัตร และช่วงเวลาในการซื้อพันธบัตร หากมีความจำเป็น เนื่องจากที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของยุโรปอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2% ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
+/- ตลาดยังคงจับตามองตัวเลขของจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน เพื่อดูทิศทางว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับไปในทิศทางใด หลังจากที่จำนวนของแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงก็ตาม โดยขณะนี้มีจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันถึง 675 แท่นด้วยกัน
- แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดดันจากตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ หลังจากที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ได้ประกาศออกมาว่ามีปริมาณสูงขึ้น 4.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มในปริมาณที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้นจากประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อย่างไรก็ตามอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้นนั้นยังคงไม่มากพอที่จะสนับสนุนราคาน้ำมันเบนซินให้อยู่ในระดับสูงไปต่อได้อีกนาน ประกอบกับมีอุปทานจากจีนเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากปริมาณอุปทานที่น้อยลง หลังจากโรงกลั่นน้ำมันได้ลดกำลังการกลั่นลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุง แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดีเซลยังคงถูกกดดันจากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่อยู่ในระดับสูง
ทิศทางราคาน้ำมันดิบ
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวที่กรอบ 46-51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 50-55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
จับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะมีกำหนดจะประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 16-17 ก.ย. นี้ ว่าจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้หรือไม่ โดยล่าสุด Fed กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจ และหารือในประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ Fed หลายราย ซึ่งรวมถึงนางเจเน็ต เยลเลน ประธาน Fed ได้กล่าวย้ำว่ามีความเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งนี้สำนักข่าว Bloomber เปิดเผยผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 54 คน ในช่วง 27-31 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่านักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยละ 48 ยังเชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งถือว่าลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่ร้อยละ 77 ที่เคยสำรวจเมื่อ 7-12 ส.ค. อย่างไรก็ตาม ยังคงมากกว่าจำนวนนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 24 ในขณะที่อีกร้อยละ 17 มองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเดือน ต.ค.
กลุ่มโอเปกแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำ และแสดงความพร้อมที่จะเจรจากับผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปกว่าจะปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อพยุงราคาหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ เวเนซุเอลาได้พยายามติดต่อประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มโอเปก เพื่อผลักดันการจัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นร่วมกับรัสเซีย และมุ่งหามาตรการเพื่อกระตุ้นราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงอย่างแรง อย่างไรก็ดี ยังไม่มีสัญญาณจากผู้ผลิตรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียถึงการเจรจาเพิ่มเติมกับผู้ผลิตรายอื่น
ติดตามทิศทางเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว โดยล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยตัวเลขดัชนีภาคการผลิตจีน (PMI) ประจำเดือน ส.ค. 58 ปรับลดลง 0.3 จากเดือนก่อนหน้า แตะระดับ 49.7 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 โดยข้อมูลชุดนี้สะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคการผลิตของจีนในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา อยู่ในอาการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบระยะเวลาอย่างน้อยสามปี เนื่องจากความต้องการซื้อทั้งในและนอกประเทศจีนชะลอตัวลง ส่งผลให้นักลงทุนวิตกมากขึ้นว่าประเทศจีนที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อาจกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะชะลอตัวรุนแรง
ข่าวเด่น