ตลาดหุ้นโลกทั้งสหรัฐและยุโรปปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.58) บวกทุกกระดาน โดยดัชนีดาวโจนส์  ปิดที่ 17,050.75 จุด พุ่งขึ้น 138.46 จุด หรือ +0.82% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,810.79 จุด เพิ่มขึ้น 19.64 จุด หรือ +0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,013.43 จุด เพิ่มขึ้น 17.60 จุด หรือ +0.88%
  
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 361.61 จุด ,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,675.91 จุด เพิ่มขึ้น 8.57 จุด หรือ +0.18% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 9,993.07 จุด เพิ่มขึ้น 22.67 จุด หรือ +0.23% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,374.82 จุด เพิ่มขึ้น 38.47 จุด หรือ +0.61%


สาเหตุที่ผลักดันตลาดหุ้นนิวยอร์กให้ดีดตัวขึ้น เกิดจากปัจจัยหลักเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 ก.ย. ที่ระบุว่า กรรมการหลายคนของเฟดมีความเห็นว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจจะกดดันให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงช่วงขาลง นอกจากนี้เฟดยังต้องการดูแนวโน้มเงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนมองว่า เฟดส่งสัญญาณโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง พร้อมกับคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกน้อยกว่าจนถึงช่วงต้นปีหน้า
  

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 263,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 273,000 ราย
  

ทั้งนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในรอบกว่า 40 ปี และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง
  
สำหรับตลาดหุ้นยุโรป ปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นขึ้นมาจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นกลุ่มรถยนต์ โดยหุ้นเดมเลอร์ ปรับขึ้น 1.2% หุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ออโตโมบิลส์ พุ่งขึ้น 3.9% โดยหุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ทางบริษัทสามารถทำข้อตกลงร่วมกับสหภาพแรงงานรถยนต์ในสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการประท้วงหยุดงาน