ตลาดหุ้นโลกปิดเมื่อคืน (14 ต.ค.) ดัชนีร่วงลง โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 16,924.75 จุด ร่วงลง 157.14 จุด หรือ -0.92% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,782.85 จุด ลดลง 13.76 จุด หรือ -0.29% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,994.24 จุด ลดลง 9.45 จุด หรือ -0.47%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับลง 0.7% ปิดที่ 355.81 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,609.03 จุด ลดลง 34.35 จุด หรือ -0.74% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 9,915.85 จุด ร่วงลง 116.97 จุด หรือ -1.17% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,269.61 จุด ลดลง 72.67 จุด หรือ -1.15%

โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐจะร่วงลง ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงานรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของสหรัฐมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงกลางเดือนส.ค.จนถึงต้นเดือนต.ค. เนื่องจากกิจกรรมภาคการผลิตได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ร่วงลง 0.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ อันเนื่องมาจากการร่วงลงของราคาน้ำมันและดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
    
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลง เกิดจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า เงินเฟ้อที่อ่อนแรงลงของจีนอาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน โดยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนในเดือนก.ย.ปรับตัวขึ้น 1.6% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงจากอัตราการขยายตัว 2.0% ในเดือนส.ค. รายงานของ NBS ระบุว่า ดัชนี CPI เดือนก.ย.ของจีนชะลอตัวลงเป็นครั้งแรก หลังจากที่ขยายตัวมากขึ้นมาเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน
  

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของยูโรโซน โดยสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท รายงานว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนลดลง 0.5% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลง 3.0% ของการผลิตในภาคพลังงาน และการร่วงลง 1.0% ในภาคสินค้าทุน
  

ด้านรัฐบาลเยอรมนีประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจสู่ระดับ 1.7% ในปีนี้ จาก 1.8% ที่คาดการณ์ในเดือนเม.ย.โดยระบุถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจของจีนและตลาดเกิดใหม่ที่ชะลอตัวลง