ตลาดหุ้นสำคัญของโลกปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.58) ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงทั้งตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรป โดยดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดที่ 17,623.05 จุด ลดลง 23.65 จุด หรือ -0.13% ,ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,034.70 จุด เพิ่มขึ้น 2.84 จุด หรือ +0.06% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,071.18 จุด ลดลง 3.97 จุด หรือ -0.19%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับลง 0.4% ปิดที่ 375.89 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,897.13 จุด ลดลง 26.51 จุด หรือ -0.54% ,ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,801.34 จุด เพิ่มขึ้น 6.80 จุด หรือ +0.06% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,417.02 จุด ลดลง 27.06 จุด หรือ -0.42%

โดยภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 ต.ค.นี้ ที่จะชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
  

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับแรงกดดัน จากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ที่ระบุยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย.ลดลง 11.5% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 468,000 ยูนิต โดยยอดขายบ้านใหม่ปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 555,000 ยูนิตในเดือนก.ย. ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
  

ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กที่ปรับตัวลง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด โดย เอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.1% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 2.7% และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 8.9%
                
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปที่ดัชนีส่วนใหญ่ปิดลดลงนั้นเกิดจากความไม่มั่นใจว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ แม้ว่านายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ECB จะทำการทบทวนในเดือนธ.ค.เพื่อพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการเพิ่มเติมหรือไม่เพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำในขณะนี้ รวมถึงนักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ