ตลาดหุ้นโลกปิดตลาดเมื่อคืน (27 ต.ค.58) ร่วง โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 17,581.43 จุด ลดลง 41.62 จุด หรือ -0.24% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,030.15 จุด ลดลง 4.55 จุด หรือ -0.09% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,065.89 จุด ลดลง 5.29 จุด หรือ -0.26%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ 371.88 จุด , ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,365.27 จุด ลดลง 51.75 จุด หรือ -0.81% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,692.19 จุด ลดลง 109.15 จุด หรือ -1.01% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,847.07 จุด ลดลง 50.06 จุด หรือ -1.02%
โดยภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงซบเซา หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลงสู่ระดับ 97.6 ในเดือนต.ค. หลังแตะระดับ 102.6 ในเดือนก.ย.
ขณะที่มาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 54.4 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ จากระดับ 55.1 ในเดือนก.ย.
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐ
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมเฟดจะเสร็จสิ้นลงในวันพุธตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นายเบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟดได้กล่าวแสดงความเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การตัดสินใจของเฟดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใดนั้น เฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง เป็นปัจจัยสำคัญ
ขณะที่สำนักงานวิจัยด้านการเงินของสหรัฐ (OFR) เปิดเผยในรายงานฉบับล่าสุดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อหุ้น และสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ พร้อมระบุว่า OFR ยังต้องจับตาดูว่าราคาสินทรัพย์จะยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นต่อไปหรือไม่ เมื่อเฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทเอกชน รวมทั้งการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศษฐกิจของยูโรโซน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยหุ้นโททาล และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 1.9% ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วย
หุ้นแองโกล อเมริกัน ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ของยุโรป ดิ่งลง 5.7% ขณะที่หุ้น BASF ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ ร่วงลง 5.7% หลังจากบริษัทปรับลดเป้าหมายอดขายและผลกำไรในปีนี้
หุ้นบีพี ปรับตัวลง 1.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 1.23 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่ระดับ 2.39 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการร่วงลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันได้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปในวันนี้ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีเดือนพ.ย.จาก GfK และความเชื่อมั่นผู้บริโภคของฝรั่งเศสเดือนต.ค.
ข่าวเด่น