ตลาดหุ้นโลกปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (29 ต.ค.58) ร่วง โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 17,755.80 จุด ลดลง 23.72 จุด หรือ -0.13% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,074.27 จุด ลดลง 21.42 จุด หรือ -0.42% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,089.41 จุด ลดลง 0.94 จุด หรือ -0.04%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.03% ปิดที่ 375.7 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,885.82 จุด ลดลง 4.76 จุด หรือ -0.10% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,800.84 จุด ลดลง 31.12 จุด หรือ -0.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,395.80 จุด ลดลง 42.00 จุด หรือ -0.65%
โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีดีพีเบื้องต้นสำหรับไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบรายไตรมาส โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.6% และต่ำกว่าระดับ 3.9% ในไตรมาส 2
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลที่ซบเซาด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 2.3% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 106.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของปีนี้ และเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาไทย รวมถึงข้อมูลรายได้-การบริโภคส่วนบุคคลเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ฉุดราคาโลหะอ่อนแรงลงหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน และหุ้นริโอทินโต ร่วงลงหนักสุด รวมถึงหุ้นดอยช์แบงก์ ร่วงลงกว่า 6% หลังมีรายงานว่า ดอยช์แบงก์เตรียมปลดพนักงาน 9,000 ราย ภายหลังที่ธนาคารเปิดเผยยอดขาดทุนรายไตรมาสเป็นมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านยูโร (6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เช่นเดียวกับ หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.5% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนหนักสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ปรับตัวลง 5% และหุ้นดอยช์ ลุฟฮันซา ร่วงลง 8.4%
ข่าวเด่น