ตลาดหุ้นโลกปิดเมื่อคืน (10 พ.ย.) เกือบทุกตลาดยืนได้แดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดที่ 17,758.21 จุด เพิ่มขึ้น 27.73 จุด หรือ +0.16% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,083.24 จุด ลดลง 12.06 จุด หรือ -0.24% , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,081.72 จุด เพิ่มขึ้น 3.14 จุด หรือ +0.15%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.1% ปิดที่ 376.27 จุด, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,912.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด หรือ +0.02% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,832.52 จุด เพิ่มขึ้น 17.07 จุด หรือ +0.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,275.28 จุด ลดลง 19.88 จุด หรือ -0.32%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงจีน หลังจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับลดแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2559 ในขณะที่ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ทั้งในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากตลาดขานรับข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า สต็อกสินค้าภาคค้าส่งของสหรัฐพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. เพราะได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ในภาพรวมภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยดาวโจนส์ลดแรงบวก ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งกระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น นับตั้งแต่กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง
ด้านตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากมุมมองบวกที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ข่าวเด่น