ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.58) ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 17,737.16 จุด พุ่งขึ้น 247.66 จุด หรือ +1.42% , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,075.20 จุด เพิ่มขึ้น 89.19 จุด หรือ +1.79% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,083.58 จุด เพิ่มขึ้น 33.14 จุด หรือ +1.62%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับลง 0.14% ปิดที่ 379.33 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,906.72 จุด ลดลง 30.59 จุด หรือ -0.62% ,ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,959.95 จุด ลดลง 11.09 จุด หรือ -0.10% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 6,278.97 จุด เพิ่มขึ้น 10.21 จุด หรือ +0.16%
โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ต.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุ เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนหน้า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ประสานเสียงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยนายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ได้ย้ำจุดยืนว่า เหตุผลในการสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีน้ำหนักมากขึ้นในปีนี้ และขณะนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงภาวะดังกล่าว ขณะที่นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ กล่าวย้ำมุมมองเดิมที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้สามารถปรับตัวรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
ด้าน นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และข้อมูลเศรษฐกิจในปัจจุบันสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ส่วนนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก แสดงความคาดหวังว่า ตลาดจะปรับตัวได้ดีต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นหลักฐานแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง
ท้้งนี้ การส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ต่างก็ปรับตัวขึ้นกว่า 2.4% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร KBW Bank Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดราคาหุ้นธนาคารรายใหญ่ 24 ตัวนั้น ปรับตัวขึ้น 2.1%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนพ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนต.ค.จาก Conference Board
ส่วนปัจจัยที่กดดันภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรป เกิดจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในกรุงปารีส โดยล่าสุดได้เกิดปะทะกันที่บริเวณแซงต์ เดนีส์ ชานกรุงปารีส เมื่อวานนี้ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวินาศกรรมในปารีส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน โดยกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสรายงานว่า ผลจากปฏิบัติการบุกไล่ล่าผู้ก่อการร้าย และตรวจค้นแหล่งกบดานทั่วประเทศ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย 25 ราย และยึดอาวุธ 34 รายการ เมื่อคืนนี้
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในฝรั่งเศส ส่งผลให้หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง โดยหุ้น Air Liquide ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นสินค้าแบรนด์เนมหรูหราก็ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้น L’Oreal ร่วงลง 1.7% และหุ้น LVMH ดิ่งลง 1.1%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นริโอทินโต พุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 4.3%
ข่าวเด่น