บล.ยูโอบีเคย์เฮียน คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้จะซึมลงในกรอบแคบอีกวัน หลังตัวเลข PMI ของจีนรายงานออกมาต่ำสุดในรอบ 3 ปีแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้กลุ่มใหญ่ๆในตลาดไทย อย่างเช่น แบงก์ สื่อสาร พลังงาน ยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆเข้ามาสนับสนุน แต่ขณะเดียวกัน downside risk ก็เริ่มจำกัด เนื่องจากตลาดปรับลงมามากแล้ว บวกกับราคาน้ำมันเริ่มทรงตัวได้ดีและนักลงทุนคาดการณ์ว่า ECB อาจจะออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมสัปดาห์นี้ กลยุทธ์เหมาะสมช่วงนี้คือ การเล่นสั้น รอซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อดัชนีเข้าใกล้ 1350 จุดและขายทำกำไรเมื่อดัชนีเด้งขึ้นเป็นรอบๆ
แนวรับ/แนวต้าน : 1350/1380 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
กลยุทธ์ : เน้นเล่นสั้น เล็งหุ้นเป็นรายตัว ลงแรงซื้อ เด้งขึ้นขาย เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง และได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
นักลงทุนระยะสั้น : ASEFA (6.5), BDMS (25.50)
ASEFA (6.5) ได้ประโยชน์จากการเติบโตของกำไรและรายได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส3 และไตรมาส4 ปีนี้ และได้ประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศและนโยบายการลงทุนของรัฐบาล ส่วนกำไรปีหน้ามีแนวโน้มโต ไม่ต่ำกว่า 20% yoy โดยจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องและมีแรงหนุนจากงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 200 ล้านบาท และงาน government data center ในระยะยาวอีกด้วย
BDMS (25.50) เป็นตีมค่าเงินบาทอ่อนค่าที่ช่วยให้ผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาตัวมากขึ้น โดยขณะนี้ BDMS มีราคาถูกที่สุดและ upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 20% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 6 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 20% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี
นักลงทุนระยะยาว : SYNTEC (3.80), CK (32)
SYNTEC (3.80) สำหรับหุ้นรับเหมาขนาดเล็กตอนนี้มีเพียงตัวเดียวที่ราคายังถูกอยู่และเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลมั่นคงคือ SYNTEC มี margin สูงและมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ทำให้งบไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากงบไตรมาส 2และ3 ที่ดีอยู่แล้วโดยทั้งปี 58 การรับงานทั้งปีจะสูงใกล้เคียง 1 หมื่นล้านบาทถือว่าเติบโตชัดเจนจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนประมูลงานเพิ่มอีกในช่วงระยะสั้นนี้ได้แก่งาน CPN, NOBLE, SUPALAI บวกกับแผนการขยายส่วนต่อรถไฟฟ้าของรัฐบาลระยะยาวก็ช่วยให้มีการสร้างคอนโดเพิ่มและประมูลงานก่อสร้างเพิ่ม ทำให้มีรายได้มาเพิ่มระยะสั้นถึงยาวให้ SYNTEC
CK (32) (1)Mega projects เช่นรางคู่และการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มจะช่วย earnings ให้เติบโตสูง 15% ในปีหน้า (2)การควบรวมกิจการของบริษัทลูก BMCL & BECL น่าจะอนุมัติเร็วๆนี้ (3)นอกจาก projects ของรัฐบาลยังมีโครงการลูก บริษัทลูก เช่น CKP มีโครงการน้ำบาก (Hydroelectric dam) ในประเทศลาว 1หมื่น7พันล้านบาท กำลังเจรจาน่าจะเซ็นสัญญา Q1 ปีหน้า (4)Q3 & Q4 sale & earnings ไม่ค่อยดี โครงการ mega projects ประมูลชนะปีนี้เริ่มทำปีหน้า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเริ่มเก็บสะสม CK (5)ราคาปัจจุบันให้ upside สูงกว่าคู่แข่งทั้ง ITD และ STEC
ข่าวเด่น