ตลาดหุ้นสำคัญของโลกปิดตลาดเมื่อคืน (3 ธ.ค.58) ดัชนีรูดลงหนัก โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงแรง ถึง 252.01 จุด ปิดที่ 17,477.67 จุด หรือลดลง 1.42% ส่วนดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,037.53 จุด ลดลง 85.69 จุด หรือ ลดลง 1.67% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,049.62 จุด ลดลง 29.89 จุด หรือลดลง 1.44%
ด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีดิ่งหนักเช่นกัน โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 3.1% ปิดที่ 372.11 จุด ,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,730.21 จุด ร่วงลง 175.55 จุด หรือลดลง 3.58% ,ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,789.24 จุด ดิ่งลง 400.78 จุด หรือลดลง 3.58% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,275.00 จุด ลดลง 145.93 จุด หรือลดลง 2.27%
ปัจจัยที่ฉุดรั้งให้ดัชนีทุกตลาดตกดิ่งเหว เนื่องจากผิดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มองว่าไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในเขตยูโรโซนให้ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง แม้อีซีบีจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB สู่ระดับ -0.3% จากเดิมที่ -0.2% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปจนถึงเดือนมี.ค.2560 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนก.ย.2559 ก็ตาม โดยมองว่าอีซีบีน่าจะปรับลดดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ได้มากกว่านี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดัน หลังนางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสสหรัฐว่า มีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้น โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังบ่งชี้ว่าซบเซา จากการที่ "มาร์กิต" บริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน ออกมาระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคบริการของสหรัฐ ชะลอตัวสู่ระดับ 56.1 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 56.5 และผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุ ภาคบริการของสหรัฐชะลอตัวในเดือนพ.ย. จากกิจกรรมทางธุรกิจที่ลดลง โดยดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ 55.9 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับ 59.1 ในเดือนต.ค.
ข่าวเด่น