คำแนะนำ
เสี่ยงซื้อในบริเวณ $1,063(ตัดขาดทุนหากหลุด $1,053) ทั้งนี้ควรพิจารณาการแกว่งตัวของค่าเงินบาทประกอบการตัดสินใจลงทุน
ทองคำ
แนวรับ 1,063 1,053 1,046
แนวต้าน 1,079 1,089 1,097
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำรอบสัปดาห์ปรับตัวลง 11.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากกระแสคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้เกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยรอยเตอร์ได้ทาการสารวจแล้วพบว่า เสียงส่วนใหญ่ในแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งไม่แตกต่างจากบลูมเบิร์กซึ่งได้สารวจข้อมูลจากนักเศรษฐศาสตร์ พบว่ากว่า 99% เห็นด้วยว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยประเด็นเหล่านี้จะคอยสร้างความผันผวนให้กับตลาดทองคำไปจนกว่าผลการประชุมจะออกมา ซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ ขณะที่กองทุน SPDR ได้ลดการถือครองทองคำตลอดทั้งสัปดาห์ลงถึง 4.17 ตัน
ปัจจัยเทคนิค
ราคาทองคำยังคงรักษาแนวโน้มขาลงเอาไว้ โดยทำจุดต่ำสุดในสัปดาห์ที่แล้วที่ 1,063 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งจะใช้เป็นแนวรับในวันนี้ ขณะที่แนวต้านนั้น หากสามารถทะลุ 1,079 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่เป็นแนวรับระยะสั้นไปได้ จะมีแนวต้านสาคัญที่ 1,089 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน
เน้นเก็งกาไรระยะสั้น โดยอาจรอเปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,063 ดอลลาร์ต่อออนซ์(ตัดขาดทุนหากหลุด 1,053 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ขณะที่การเปิดสถานะขายอาจรอบริเวณ 1,089 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน
(-)ประธานธนาคารโลกหนุนเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นายจิม ยอง คิม ประธานธนาคารโลก กล่าววานนี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรจะเดินหน้าตามที่คาดไว้ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีในสัปดาห์หน้า เนื่องจากดูเหมือนว่าประเทศตลาดเกิดใหม่และนักลงทุนได้เตรียมตัวสาหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินนี้แล้ว “เราไม่คิดว่าจะมีปฏิกิริยาในทันทีใดๆ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ได้เปิดเผยความตั้งใจของเธออย่างมีประสิทธิภาพ" นายคิมระบุ นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากระดับเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า เพื่อปรับลดขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้มาตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 ลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
(+)จีนเผยยอดค้าปลีกขยายตัว 11.2% ในเดือนพ.ย. ข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการบ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวที่สูงที่สุดของปีนี้ สานักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวมาจากความสาเร็จของเทศกาลซื้อสินค้าออนไลน์ในวัน Singles' Day โดยมียอดค้าปลีกรวมที่ 2.79 ล้านล้านหยวน (4.34 แสนล้านดอลลาร์) ในเดือน พ.ย. สาหรับในช่วง 11 เดือนแรกของปี ยอดค้าปลีกของจีนขยายตัว 10.6% จากปีก่อน แตะที่ 27.23 ล้านล้านหยวน
(+)จีนเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6.2% ในเดือนพ.ย. ข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการบ่งชี้ว่า ผลผลิตมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรวัดทางเศรษฐกิจที่สาคัญของจีนขยายตัว 6.2% ในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับการขยายตัวที่ 5.6% ในเดือนต.ค. ตัวเลขดังกล่าวเป็นสถิติการขยายตัวในระดับสูงสุดเป็นอันดับที่สองของปีนี้ หลังจากที่ขยายตัวที่ 6.8% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งสัญญาณถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคการผลิต สานักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ระบุว่า อัตราการขยายตัวในช่วง 11 เดือนแรกเมื่อเทียบเป็นรายปีอยู่ที่ 6.1% ทรงตัวอยู่ที่ระดับเดียวกับในช่วง 10 เดือนแรก ทั้งนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ผลผลิตมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม เป็นมาตรวัดกิจกรรมของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 20 ล้านหยวน (3.11 ดอลลาร์) ขึ้นไป
(+/-)กสิกรไทยคาดกรอบเงินบาทสัปดาห์ 35.90-36.20 ลุ้นผลประชุม กนง./FOMC ธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์(14-18 ธ.ค.) ไว้ที่ 35.90-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 16 ธ.ค.58 และผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด(FOMC) ในวันที่ 15-16 ธ.ค.58 ซึ่งเฟดอาจมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2549 ขณะเดียวกันมีข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สาคัญ ประกอบด้วย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ(ขั้นต้น) ดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟียเดือน ธ.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน การขออนุญาตก่อสร้าง การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย. และข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือน ต.ค.
ข่าวเด่น