ตลาดหุ้นสำคัญของโลกปิดเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.58) สวนทางกัน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งแรง ขณะตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์ พุ่งทะยานกว่า 103.29 จุด ที่ 17,368.50 จุด หรือ +0.60%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,952.23 จุด เพิ่มขึ้น 18.76 จุด หรือ +0.38% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,021.94 จุด เพิ่มขึ้น 9.57 จุด หรือ +0.48%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.8% ปิดที่ 349.54 จุด ,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,473.07 จุด ลดลง 76.49 จุด หรือ -1.68% , ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 10,139.34 จุด ลดลง 200.72 จุด หรือ -1.94% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 5,874.06 จุด ลดลง 78.72 จุด หรือ -1.32%
 

ทั้งนี้ ปัจจัยบวกที่ผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐ ได้แก่ การที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกดีดตัวขึ้น จากก่อนหน้าร่วงลงหนักโดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.9% ปิดที่ 36.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
ซึ่งการฟื้นตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น ทำหใ้หุ้นเชฟรอน คอร์ป และหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้นกว่า 2.2% ขณะที่ หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ เพิ่มขึ้น 2.9%
  

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาผลการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) ในวันพุธนี้ ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rates) ในการประชุมครั้งนี้ จากระดับปัจจุบันที่ 0.25% โดยจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ
                
สำหรับปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นยุโรปให้ปรับตัวลดลงเป็นวันที่ห้า เกิดจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นอาร์เซลอร์มิททัล ร่วงลงราว 6.3% ขณะที่หุ้นทุลโลว์ ออยล์ และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 3.5% จากกระแสข่าวบริษัทจะปลดพนักงานออกจำนวน 2,800 คน ภายหลังควบกิจการกับบีจี กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของอังกฤษ ในปีหน้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของเฟด