คำแนะนำ
  

เข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงมาในบริเวณ $1,055 และอาจต้องพิจารณาค่าเงินบาทประกอบการตัดสินใจลงทุน

ทองคำ
  

แนวรับ 1,060 1,055 1,046
  

แนวต้าน 1,072 1,077 1,089

ปัจจัยพื้นฐาน
   

ราคาทองคำสปอตสหรัฐฯวานนี้ปรับตัวขึ้นประมาณ 12 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยผลสรุปการประชุมของเอฟโอเอมซีนั้นประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถปรับตัวได้ดีจนทาให้ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับระหว่าง 0.25%-0.50% ซึ่งเป็นการจบสิ้นการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่าที่ดาเนินมาอย่างยาวนาน เบื้องต้นจะเห็นได้ว่าราคาทองคาเริ่มดีดตัวขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากประเด็นดังกล่าวได้กดดันราคาทองคามาอย่างต่อเนื่องซึ่งก็คือตลาดได้ตอบรับกระแสข่าวดังกล่าวไปแล้ว ทาให้แรงขายจะไม่สามารถชนะแรงซื้อในวันได้ และจากสถิติจะพบว่าภายหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาทองคาจะปรับตัวขึ้นเป็นส่วนมาก ทาให้ประเด็นนี้ยังคงน่าติดตามต่อไป

ปัจจัยเทคนิค
  

ราคาทองคำยังคงมีแนวต้านในโซน 1,077 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากวานนี้แนวต้านดังกล่าวใช้งานได้ค่อนข้างดี เบื้องต้น ประเมินแนวรับที่ 1,060-1,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดบริเวณดังกล่าวมีโอกาสที่ราคาทองคาจะเผชิญแรงขายทากาไรออกมา โดยมีแนวรับสาคัญที่ 1,046 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน
   

พิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงมาในโซน 1,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่การเปิดสถานะขายนั้นอาจเลือกในบริเวณ 1,077 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคายืนเหนือ 1,089 ดอลลาร์ต่อออนซ์)

ข่าวสารประกอบการลงทุน
  

(-)ดอลล์แข็งค่าเทียบตะกร้าเงินหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี คณะกรรมการกาหนดนโยบายการเงินของเฟดลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ ระดับในช่วง 0.25-0.50% ซึ่งได้ยุติการถกเถียงกันมานานว่าเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
   

(-)เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี คณะกรรมการกาหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวานนี้ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% อยู่ในช่วง 0.25-0.50% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันไว้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2006 นอกจากนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่า เฟดระบุว่าจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่่ำ และจะปรับนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจ "เฟดคาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวในลักษณะที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป" แถลงการณ่เฟดระบุ "คณะกรรมการ FOMC พิจารณาแล้วเห็นว่าตลาดแรงงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปีนี้ และคณะกรรมการมีความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นในระยะกลางสู่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย" นอกจากนี้ เฟดยังได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของอัตราดอกเบี้ย, เศรษฐกิจสหรัฐ, อัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ
   

(-)EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งเกินคาด 4.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สานักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด 4.8 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล การเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐของ EIA สอดคล้องกับการรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด 2.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว การเปิดเผยสต็อกน้ามันสหรัฐทั้งจาก EIA และ API ต่างตอกย้าภาวะน้ำมันล้นตลาด ทั้งนี้ อิหร่านมีแนวโน้มเพิ่มการส่งออกน้ำมันหลังชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่าบาตร ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับเพดานการผลิตน้ำมันสำหรับช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้า
    

(-)น้้ำมันดิบดิ่งลง 5% เพราะสต็อกน้้ำมันพุ่งขึ้น ราคาน้ามันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงเกือบ 5 % ในวันพุธ หลังจากรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นสูงเกินคาด และหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนม.ค.ดิ่งลง 1.83 ดอลลาร์ หรือเกือบ 5 % มาปิดตลาดที่ 35.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 35.29-37.35 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.26 ดอลลาร์ หรือ 3.3 % สู่ 37.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 37.11-38.45 ดอลลาร์