+ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังวานนี้ได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก หลังจากวานนี้ได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี สาเหตุสำคัญเนื่องมากจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดีปริมาณการซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนได้ปิดสถานะสัญญาการซื้อขายในช่วงสิ้นปี ทั้งนี้สถานการณ์น้ำมันดิบยังอยู่คงอยู่ในภาวะอ่อนตัวจากสภาวะอุปทานล้นตลาด โดยมีแนวโน้วอ่อนตัวต่อเนื่องในปี 2559
+/- สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าปรับตัวลดลง 3.6 ล้านบาร์เรล มาที่ระดับ 486.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ไว้ว่าปริมาน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล ส่วนปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล
- ซาอุดิอาระเบียรายงานว่าขีปนาวุธของเยเมนที่โจมตีฐานที่มั่นทางทหารของซาอุดิอาระเบียในเมือง Jizan ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อโรงกลั่นและคลังน้ำมันใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ โดยราคาน้ำมันดิบไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์นี้
- Goldman Sachs ประเมินว่าภาวะอุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินที่ประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลในช่วงไตรมาส 4 ปี 58 จะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงครึ่งปีแรกของปี 59 โดยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจะอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี คาดว่าปริมาณอุปทานและอุปสงค์น้ำมันดิบอาจปรับตัวมาที่สภาวะสดุลในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559
- จากปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลให้อุณหภูมิในแถบซีกโลกเหนือสูงกว่าระดับปกติในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ ยุโรป และรัสเซีย ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนน้อยกว่าคาด โดย BNP Paribas ประเมินว่าจำนวนวันสำหรับการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนในปีนี้ลดลงประมาณ 23-24% จากระดับปกติ
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบางในช่วงก่อนสิ้นปี โดยจีนจะเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน หลังโรงกลั่นขนาดเล็กในจีนได้รับโควต้าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป โดยในเดือน พ.ย. 58 จีนได้ส่งออกเพิ่มขึ้น 34% จากเดือนก่อนหน้า หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณอุปทานในภูมิภาคเอเชียที่ยังมีมากกว่าอุปสงค์ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกของมาเลเซียและภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังโรงกลั่นในประเทศเหล่านี้เสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ดีอุปสงค์น้ำมันดีเซลยังทรงตัว หลังจากมีความต้องการนำเข้าจากอินโดนีเซีย และศรีลังกา
ทิศทางราคาน้ำมันดิบ
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวที่กรอบ 34-39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 36-42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
อุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินจากอิหร่านมีแนวโน้มที่จะเข้ามาสู่ตลาดโลกมากยิ่งขึ้น หลังล่าสุดทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) รายงานว่าได้ยุติการสอบสวนข้อสงสัยเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน หลังได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 12 ปี โดย IAEA เผยว่าไม่พบหลักฐานว่าอิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาหลายปีแล้ว ทั้งนี้ ส่งผลให้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้ในเร็วนี้
จับตาการประชุมสภาครองเกรสของสหรัฐฯ เพื่อผ่านร่างกฎหมายในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ โดยล่าสุดผู้นำของสภาครองเกรสสหรัฐฯ ได้เห็นพ้องให้มีการยกเลิกคำสั่งห้ามการส่งออกน้ำมันจากสหรัฐฯ หลังบังคับใช้มานานกว่า 40 ปี อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวยังคงต้องรอการอนุมัติจากทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 18 และ 22 ธ.ค. ตามลำดับ รวมถึงต้องมีการลงนามเพื่อเป็นกฎหมายจากประธานาธิบดี บารัค โอบามาก่อน
ตลาดน้ำมันดิบยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ (สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. 58) ว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรลขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 490.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดของปี ทั้งนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันดิบสหรัฐฯ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
จับตาทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังคณะกรรมการกาหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จากระดับ 0-0.25%มาอยู่ที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ถือเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี เนื่องจากอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ลดลง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ข่าวเด่น