ตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดเมื่อค้ืนนี้ (11 ม.ค.58) ฟื้นตัวขึ้นจากแรงเก็งกำไรหลังก่อนหน้าดัชนีดิ่งลงต่ำ โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 16,398.57 จุด เพิ่มขึ้น 52.12 จุด หรือ +0.32% ,ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,637.99 จุด ลดลง 5.64 จุด หรือ -0.12% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,923.67 จุด เพิ่มขึ้น 1.64 จุด หรือ +0.09%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับลง 0.3% ปิดที่ 340.23 จุด,ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 4,312.74 จุด ลดลง 21.02 จุด หรือ -0.49%,ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ 9,825.07 จุด ลดลง 24.27 จุด หรือ -0.25% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 5,871.83 จุด ลดลง 40.61 จุด หรือ -0.69%
ปัจจัยที่ผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐให้ฟื้นตัวขึ้น เกิดจากแรงช้อนซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน หลังตลาดดิ่งลงอย่างหนักติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุน หลังรายงานดัชนีบ่งชี้ตลาดการจ้างงานในสหรัฐซึ่งได้รับการสำรวจโดย Conference Board นั้น พุ่งขึ้นมากในเดือนที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของการจ้างงานชั่วคราวในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสตมาสและปีใหม่
ทั้งนี้ ดัชนีการจ้างงานของ Conference Board ดีดตัวขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 129.33 และหากเมื่อเทียบรายปี ดัชนีการจ้างงานพุ่งขึ้น 2.6% ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐ และสอดคล้องกับรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 292,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. จากระดับ 252,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศจีนอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงในระดับโลก ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการดิ่งลงของราคาน้ำมัน เป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
สำหรับตลาดหุ้นยุโรปยังไม่มีแรงฟื้นตัวขึ้น จากแรงกดดันของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.5% หุ้นบีจี กรุ๊ป ดิ่งลง 2.4% และหุ้นสแตท ออยล์ ร่วงลง 2.8% ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยหุ้นเกลนคอร์ ร่วงลง 5.2% หุ้นริโอทินโต ร่วงลง 2.4% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดิ่งลง 2.5% นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนที่จะส่งผลให้ความต้องการพลังงานในประเทศจีนซบเซาด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงขึ้นอีกหากอิหร่านเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในเร็วๆนี้
รวมถึงตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท รายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ในยูโรโซน ปรับตัวลดลง 0.3% จากเดือนต.ค. ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ยอดค้าปลีกในยูโรโซนปรับตัวลดลงในเดือนพ.ย.นั้น เป็นเพราะยอดขายน้ำมันรถยนต์ที่ร่วงลง 0.7% ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารลดลง 0.4% และอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบลดลง 0.1%
ข่าวเด่น