นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน มกราคม2559 ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายรัฐบาลและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การใช้จ่ายภาคเอกชนที่มีสัญญาณชะลอลง และการส่งออกสินค้าของไทยที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง สำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลง สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ หดตัว -1.2% ต่อปี จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวเล็กน้อย
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงในรอบ 4 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 64.4 เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า และได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน กอปรกับราคาสินค้าเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ 12.9% ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในเขตภูมิภาค ส่วนหนึ่งจากการกระตุ้นยอดขายในช่วงปีใหม่ของผู้ประกอบการ กอปรกับเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกที่ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้า
ด้านรายได้เกษตรกรที่แท้จริงหดตัวเล็กน้อยที่ -3.5% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัว -5.6% ต่อปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการเร่งโอนไปแล้วในช่วงเวลาก่อนหน้าก่อนที่ราคาประเมินที่ดินใหม่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค.59 ขณะที่ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์กลับมาหดตัวในรอบ 2 เดือน ที่ -0.3% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างที่หดตัวเช่นกันที่ -6.2% ต่อปี ตามการลดลงของราคาวัสดุก่อสร้างในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก
อย่างไรก็ดี การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวที่ 2.9% ต่อปี และเมื่อหักสินค้าพิเศษ (เครื่องบิน เรือ และรถไฟ) พบว่า ขยายตัวเช่นกันที่ 4.9% ต่อปี สถานการณ์ด้านการคลัง สะท้อนบทบาทนโยบายการคลังในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐบาลที่ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูง โดยการเบิกจ่ายงบประมาณรวมสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 259.9 พันล้านบาท ขยายตัว 20.5% ต่อปี โดยเป็น การเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันจำนวน 241.0 พันล้านบาท ขยายตัว 21.8% ต่อปี แบ่งออกเป็น
(1) รายจ่ายประจำขยายตัว 22.0% ต่อปี และ (2) รายจ่ายลงทุนขยายตัว 19.6 ต่อปี สำหรับการจัดเก็บรายได้รัฐบาล พบว่า รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ได้จำนวน 156.4 พันล้านบาท หดตัว -2.6% ต่อปี ทั้งนี้ ดุลงบประมาณขาดดุลจำนวน -109.7 พันล้านบาท สะท้อนบทบาทนโยบายการคลังด้านรายจ่ายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ด้านอุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าหดตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐหดตัว -8.9% ต่อปี ซึ่งเป็นการหดตัวในเกือบทุกกลุ่มสินค้าส่งออก โดยเฉพาะน้ำมันและเชื้อเพลง และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
ขณะที่ภาพรวมการส่งออกรายตลาดหดตัวเกือบทุกประเทศ โดยเฉพาะคู่ค้าหลัก ได้แก่ อาเซียน-5 ญี่ปุ่น และสหรัฐ เป็นสำคัญ แต่ตลาดส่งออกไปกลุ่มประเทศ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และ CLMV ยังขยายตัวเป็นบวก
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวในภาคการท่องเที่ยว สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.0 ล้านคน ขยายตัวในระดับสูงที่ 15.0% ต่อปี โดยเป็นนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีจากจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ขณะที่รัสเซียยังคงหดตัว
นอกจากนี้ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัว 2.8% ต่อปี จากข้าวเปลือกที่มีปริมาณผลผลิตออกมามากจากการเลื่อนการทำนาช่วงกลางปี 58 และผลผลิตในกลุ่มไม้ผลที่ขยายตัวได้ดีในเกือบทุกหมวด รวมถึงดัชนีในหมวดปศุสัตว์และประมงที่ยังขยายตัวได้ดี
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ปรับลดลงในรอบ 5 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 86.3 เนื่องจากความกังวลต่อการชะลอตัวของกำลังซื้อภายในประเทศจากการเร่งใช้จ่ายในเดือนก่อนหน้า ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.9% ของกำลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 3.46 แสนคน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงหดตัวที่ -0.5% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.6% ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือน ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 44.4% ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกิน 60.0%
สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ม.ค.59 อยู่ที่ระดับ 160.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นประมาณ 3.0 เท่า
ข่าวเด่น