วันนี้ (9 มี.ค. 59 ) ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งหลายพื้นที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมากขึ้น โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 14 จังหวัด 58 อำเภอ 276 ตำบล 2,361 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 3.15 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ
แยกเป็น ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พะเยา สุโขทัย และนครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครพนม มหาสารคาม และบุรีรัมย์ ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี และเพชรบุรี ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และชลบุรี
ทั้งนี้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้ปภ.ประสานจังหวัดและหน่วยงานทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยดำเนินการสำรวจปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ พร้อมประเมิน และจัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อกำหนดพื้นที่การช่วยเหลือได้อย่างชัดเจน และสอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมถึงวางแผนจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และมาตรการรองรับกรณีแหล่งน้ำดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปาเพื่ออุปโภคบริโภค จัดหาเครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำให้บริการเติมน้ำใส่ถังน้ำกลางประจำหมู่บ้านในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ตลอดจนประสานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยนำน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการบำบัดตามมาตรฐานจนมีคุณภาพตามที่กำหนดมาระบายให้เกษตรกรนำไปใช้ในการเพาะปลูกและทำการเกษตร
นอกจากนี้ให้จังหวัดใช้กลไกประชารัฐในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ ความจำเป็นในการควบคุมกิจกรรมการใช้น้ำของภาครัฐ พร้อมบูรณาการฝ่ายพลเรือน และหน่วยทหาร เฝ้าระวังบริเวณจุดเสี่ยงที่มักมีการลักลอบสูบน้ำและเกิดปัญหาแย่งน้ำ พร้อมจัดทำประชาคมกำหนดกติกาการใช้น้ำไว้ล่วงหน้า เพื่อจัดสรรการใช้น้ำอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม กรณีมีการลักลอบสูบน้ำ กั้นน้ำ และปัญหาแย่งน้ำของประชาชนในพื้นที่ ให้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำให้เหมาะสม โดยวางแผนการใช้น้ำที่มีปริมาณจำกัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยเฉพาะเกษตรกรให้ปรับวิถีทำการเกษตรให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้ การใช้น้ำเป็นไปตามแผนการจัดสรรน้ำที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งจะทำให้มีน้ำอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเพียงพอ ตลอดช่วงฤดูแล้ง
ข่าวเด่น