กลยุทธ์วันนี้ Fund Flow
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX เปิดทะลุแนว 1,380 จุด เพื่อตอบรับเชิงบวกกับผลการประชุมเฟดคืนวันก่อนหน้า นำโดยกลุ่มพลังงาน /ปิโตรเคมี แต่ก็เกิดแรงขายทำกำไรมากขึ้น หลังต่างชาติเริ่มขายสุทธิตลาดหุ้นไทยตลอด 2 วันทำการก่อนหน้า กดดันให้ SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,390 จุด ปิดที่ 1,380.20 จุด บวกเพียง 2.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47,663 ล้านบาท
เม็ดเงินทุนต่างชาติเริ่มกลับมาสนใจไทยอีกครั้ง แม้ว่าจะคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 แต่ชะลอตัวเหลือ 1,085 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Index Futures มากถึง 12,529 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 8,225 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- เงินทุนต่างชาติกลับมาสนใจไทยอีกครั้ง ผ่าน SET50 Index Futures และตลาดตราสารหนี้
- กลุ่ม ICT จะผันผวนมากขึ้น เพราะยิ่งใกล้วันที่ 21 มี.ค. ยิ่งมีประเด็นความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
- JAS Mobile ถึงกำหนดชำระงวดแรก และ Bank Guarantee สำหรับใบอนุญาต 900MHz วันที่ 21 มี.ค.
- ติดตามการประชุม ครม. กับการพิจารณาโครงการบ้านประชารัฐ รวมถึงอาจพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู – เหลือง
- ตัวเลขการส่งออก – นำเข้า เดือนก.พ. ของไทยในวันที่ 25 มี.ค.
- ติดตามการประมาณการงบ 1Q59 ของกลุ่มธนาคาร
มุมมองต่อตลาด
เราคงมุมมองต่อการลงทุน “บวก” วันที่ 6 ประเมินกรอบแกว่ง SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,375 – 1,395 จุด จับตาหุ้นหลักในกลุ่ม Global Play / ขนส่ง / วัสดุก่อสร้าง / รับเหมาก่อสร้าง / หุ้นปันผลเด่น ที่จะดึงดูดเม็ดเงินทุนต่างชาติ เพราะเม็ดเงินที่ไหลออกจากประเทศพัฒนาแล้ว (DM) อย่างสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 – 15 ปี ติดลบ ทำให้กองทุน Fixed income / Equity fund ย่อมไหลออกหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจบนความเสี่ยงที่รับได้
ขณะที่หุ้นหลักกลุ่ม ICT ในวันนี้ และ วันจันทร์ที่ 21 มี.ค. เชื่อว่าจะมีความผันผวนมากขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับท่าทีของ JAS Mobile ว่าจะตัดสินใจอย่างไร กับเส้นตายวันที่ 21 มี.ค.นี้
- หาก JAS Mobile ตัดสินใจยื่นชำระเงินตามเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนดได้ทันภายในวันที่ 21 มี.ค.นี้ เชื่อว่าหุ้น 5 หลักทรัพย์ ADVANC/ DTAC / JAS/ TRUE / INTUCH มีโอกาสปรับฐานลง แต่จะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพื้นฐานด้านธุรกิจในแต่ละบริษัท เพราะภาพของการแข่งขันในช่วง 4-8 ไตรมาสข้างหน้าจะเป็นไปอย่างเข้มข้น
- แต่หาก JAS Mobile ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนแผนธุรกิจได้ทันภายในวันที่ 21 มี.ค. และกสทช.ไม่เปิดโอกาสยืดเวลาให้แก่ JAS Mobile คาดว่าหุ้น JAS / JASIF จะฟื้นตัวเด่น ขณะที่ ADVANC / DTAC / TRUE / INTUCH จะฟื้นตัวเช่นกัน แต่จะเป็นไปอย่างจำกัด เพราะภาพการแข่งขันระหว่าง 3 ผู้ให้บริการจะยังเข้มข้นไปอีก 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
สำหรับปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า นอกเหนือจากประเด็น JAS Mobile ข้างต้นแล้ว เราให้น้ำหนักกับการประชุมครม.ที่วันอังคารที่ 22 มี.ค.นี้ เพราะจะมีการพิจารณาโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเราประเมินว่า PS จะมีความพร้อม และลักษณะของบ้าน / คอนโดฯ และระยะเวลาการก่อสร้างที่สั้น เข้าเกณฑ์บ้านประชารัฐได้ตรงที่สุด ด้วยประเด็นนี้น่าจะทำให้กลุ่มอสังหาฯ จะมีแรงเก็งกำไรช่วงสั้น บวกกับโอกาสที่ครม.อาจพิจารณาแผนการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ย่อมเอื้อต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และ กลุ่มวัสดุก่อสร้างให้มีสีสันได้ดีขึ้น
นอกเหนือไปจาก กลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี ที่ยังคงแข็งแกร่งตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้นักลงทุนที่เก็งกำไรในกลุ่มนี้ทยอยขายทำกำไร เมื่อราคาไต่ระดับขึ้น (Sell into Strength) เพราะราคาหุ้นที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในรอบนี้ สะท้อนปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบไปค่อนข้างมากแล้ว
กลยุทธ์การลงทุน
เราคงแนะนำให้ “เก็งกำไรหุ้นหลัก / High Beta ต่อเพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ เหนือ 1,400 จุดขึ้นไป
Accumulative Buy: KTB
Speculative Buy: IVL
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “เก็งกำไร” ได้แก่
1. IVL : ราคาปิด 23.30 บาท ราคาเหมาะสม 28.00 บาท
a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จะ Outperform ตลาดในวันนี้ หลังราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวขึ้นแรง +4.5% dod เป็น US$40.20/barrel จาก Dollar Index ที่อ่อนค่าลงมาก และแรงเก็งกำไรการประชุมระหว่างรัสเซียและโอปคในวันที่ 17 เม.ย.
b) คาดว่าผลประกอบการ 1Q59 จะฟื้นตัวเด่น yoy & qoq จากแรงหนุนของ Stock Gain หลังราคาน้ำมันดิบ ณ ราคาปิดวานนี้ ปรับตัวขึ้นสูงกว่าสิ้นปี 2558
c) ราคาหุ้นยัง Laggard โดย YTD หุ้น IVL +9.4% เทียบกับกลุ่มปิโตรเคมี +14.6% และหุ้นในกลุ่ม เช่น PTTGC +20.5%, VNT +11.4%
d) คาดกำไรปกติปี 2559 เติบโต +35% yoy เป็น 6,518 ล้านบาท และ Valuation ยังไม่แพง ซื้อขายระดับ PBV2559 ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.6 เท่า
และ “สะสม”
2. KTB : ราคาปิด 18.30 บาท ราคาเหมาะสม 21.00 บาท
a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะมี Momentum บวก จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่ หลัง Dollar Index อ่อนค่าลงแรงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง
b) KTB ได้ประโยชน์โดยตรงจากความคืบหน้าในการเปิดประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ที่จะมีความคืบหน้ามากขึ้นในเดือน เม.ย. เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนการปล่อยกู้สินเชื่อให้ภาครัฐฯสูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร
c) คาดการณ์เงินปันผลปี 2558 หุ้นละ 0.80-1.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.3-5.4%
a) Valuation ถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยซื้อขาย PER2559 ที่ 7.63x เทียบกับ BBL 8.28x. SCB 9.83x, KBANK 9.58x, BAY 10.56x
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 16 เร่งขึ้นเป็น US$1,100 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$410 ล้าน
ตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิเพียงตลาดเดียว
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเริ่มกลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง
แม้ว่านักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 แต่ชะลอตัวเหลือ 1,085 ล้านบาท รวม 3 วันทำการขายสุทธิ 6,039 ล้านบาท เทียบกับ 9 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 17,900 ล้านบาท แต่ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้จะยังซื้อสุทธิแต่ลดลงเหลือ 4,241 ล้านบาท
ขณะที่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิอีกครั้งและมากถึง 12,529 สัญญา เชื่อว่าจะเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Long อีกครั้ง และเมื่อพิจารณาจาก S50M16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างถึง 11.51 จุด ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 11.45 จุด ผลักดันให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิทะลุ 130,000 สัญญา เป็น 137,228 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 8,225 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิเพียง 2,696 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่น ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงมากถึง 6.97bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.93bps ปิดที่ 1.825%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,483 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,894 ล้านบาท แต่ยังเป็นระดับที่หนาแน่น
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 13 เน้นกลุ่มพลังงานเป็นสำคัญ ขณะที่มีการซื้อกระจุกตัวใน CPALL – CPF
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิเร่งขึ้นเป็น 1,813 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,209 ล้านบาท โดยเน้นกลุ่มพลังงานอย่างโดดเด่น รวม 13 วันทำการ ซื้อสุทธิ 36,630 ล้านบาท ขณะที่มีการเพิ่มน้ำหนักใน CPALL-CPF อย่างหนาแน่น สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 668 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 345 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 609 ล้านบาท กลุ่มอาหาร ซื้อสุทธิ 535 ล้านบาท และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 67 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 ลดลงเหลือ 192 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 600 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ขายสุทธิ 43 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
ยอดขอสวัสดิการว่างงาน 2.65 แสนตำแหน่ง ใกล้เคียง Bloomberg consensus คาด 2.70 แสนตำแหน่ง แต่แย่กว่าเดือนก่อนหน้าที่ 2.58 แสนตำแหน่ง
ผลสำรวจภาคธุรกิจของฟิลาเดลเฟีย เดือนมี.ค. เท่ากับ 12.4 จุด สวนทางกับที่ Bloomberg consensus คาด -1.4 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ -2.8 จุด โดยคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จาก -5.3 จุดในเดือนก.พ. เป็น 15.7 จุด
ยุโรป
ไม่มี
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
ธนาคารกลางอินโดนีเซียลดอัตราดอกเบี้ย: เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงจาก 7.00% เป็น 6.75% สอดคล้องกับ Bloomberg consensus พร้อมกับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก ลง 25bps เช่นกัน ธนาคารกลางคาดว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอินโดนีเซีย
อัตราการว่างงานออสเตรเลียต่ำกว่าคาด: เดือนก.พ. อัตราการว่างงานลดลงสู่ 5.8% จากเดือนก่อนหน้าที่ 6.0% และ Bloomberg consensus คาดที่ 6.0% โดยการจ้างงานเต็มเวลา เพิ่มขึ้น 15,900 ตำแหน่ง ส่วน Part-time ลดลง 15,600 ตำแหน่ง ทั้งนี้ธนาคารกลางออสเตรเลีย ให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน
ยอดส่งออก(ไม่รวมน้ำมัน)ของสิงคโปร์ขยายตัวสวนทางคาด: เพิ่มขึ้น 2.1% yoy ในเดือน ก.พ. จากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 10.1% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดลดลง 0.8% yoy นำโดยการส่งออกเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 40% yoy ด้านการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทรงตัว +0.7% yoy ส่วนการส่งออกปิโตรเคมีลดลง 2.4% yoy
ไทย
ร.ฟ.ท. ผุดรางคู่เพิ่ม 2 สาย: ร.ฟ.ท.ได้เพิ่มการลงทุนโครงการรถไฟรางคู่อีก 2 เส้นทาง คือเส้นทางแยกเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม.วงเงินลงทุน 7.7 หมื่นล้านบาท และเส้นทาง บางไผ่-นครพนม ระยะทาง 347 กม.วงเงินลงทุน 6.6 หมื่นล้านบาท รวมวงเงินประมาณ 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทั้งนี้ 2 เส้นทางดังกล่าวอยู่ระหว่างการออกแบบ และเตรียมทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และคาดว่าจะเปิดประมูลในปลายปี 2559 หรือต้นปี 2560 สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟรางคู่ทั้ง 4 เส้นทางนั้น คาดว่าภายในปี 2559 นี้ จะเปิดประมูลและก่อสร้างโครงการได้ โดยเส้นทางมาบกะเบา-ชุมทางจิระ และเส้นทางประจวบ-ชุมพร ทั้ง 2 โครงการ ได้ผ่าน อีไอเอแล้ว คาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในเร็วนี้
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 18 มี.ค. 2559
ข่าวเด่น