ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


กลยุทธ์วันนี้  JAS Mobile

ตลาดหุ้นวานนี้: 
          ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ SET INDEX แกว่งระหว่าง 1,375 – 1,386 จุด เนื่องจากเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Global Play อย่างพลังงาน / ปิโตรเคมี / SCC ขณะที่มีแรงเก็งกำไรต่อกลุ่ม ICT เข้ามาหนาแน่น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวก 2.76 จุด มาอยู่ที่ 1,382.96 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,250 ล้านบาท 
          เม็ดเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาด ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 3,645 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 3,445 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 มากถึง 21,599 ล้านบาท

 

ปัจจัยสำคัญวันนี้         
 
 
- JAS Mobile ถึงกำหนดชำระงวดแรก และ Bank Guarantee สำหรับใบอนุญาต 900MHz วันที่ 21 มี.ค.
          - กระแสเงินทุนต่างชาติหนาแน่น จับตาหุ้นหลักที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลเด่น น่าจะเป็นเป้าหมายของต่างชาติในรอบสั้นนี้

มุมมองต่อตลาด
          เราคงมุมมองต่อการลงทุน “บวก” วันที่ 7 ให้น้ำหนักกับ SET INDEX วันนี้มีโอกาสกลับมายืนเหนือ 1,390 จุด ผลักดันด้วยหุ้นหลักใน SET50 Index เพราะเราเชื่อว่าเม็ดเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะเลือกหุ้นที่เน้นผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นหลัก เทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรในยุโรป หรือ ญี่ปุ่น ติดลบเป็นส่วนใหญ่ 
 
          สำหรับวันนี้กลุ่ม ICT ในวันนี้ เชื่อว่าจะมีความผันผวนมากขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับท่าทีของ JAS Mobile ว่าจะตัดสินใจอย่างไร  
 
          - หาก JAS Mobile ตัดสินใจยื่นชำระเงินตามเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนดได้ทันภายในวันนี้ เชื่อว่าหุ้น 5 หลักทรัพย์ ADVANC/ DTAC / JAS/ TRUE / INTUCH มีโอกาสปรับฐานลง แต่จะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพื้นฐานด้านธุรกิจในแต่ละบริษัท เพราะภาพของการแข่งขันในช่วง 4-8 ไตรมาสข้างหน้าจะเป็นไปอย่างเข้มข้น
          - แต่หาก JAS Mobile ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนแผนธุรกิจได้ทันภายในวันนี้ และกสทช.ไม่เปิดโอกาสยืดเวลาให้แก่ JAS Mobile คาดว่าหุ้น JAS / JASIF จะฟื้นตัวเด่น ขณะที่ ADVANC / DTAC / TRUE / INTUCH จะฟื้นตัวเช่นกัน แต่จะเป็นไปอย่างจำกัด เพราะภาพการแข่งขันระหว่าง 3 ผู้ให้บริการจะยังเข้มข้นไปอีก 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
         
 
ขณะที่กลุ่ม กลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี อาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรรอบสั้นต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มซึมตัว อีกทั้งราคา ณ ปัจจุบัน เทียบกับราคาเหมาะสมของหุ้นหลักในกลุ่มนี้ เหลือ upside gain ที่จำกัด หรือบางหลักทรัพย์ ราคาหุ้นสูงกว่าเป้าหมายไปแล้ว ทำให้ความผันผวนของหุ้นหลักใน 2 กลุ่มนี้มีแนวโน้มจะผันผวนมากขึ้น 
       
 เราให้น้ำหนักกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ต่อประเด็นที่ทางการจะเริ่มกลับมาพิจารณาโครงการลงทุนขนาดใหญ่มากขึ้นจากนี้ไป เพื่อผลักดันภาพรวมเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ กับโครงการบ้านประชารัฐ ที่ครม.จะพิจารณาในวันพรุ่งนี้
         
 
เราประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX ระหว่าง 1,375 – 1,395 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.0-5.5 หมื่นล้านบาท/วัน

กลยุทธ์การลงทุน 
          เราคงแนะนำให้ “เก็งกำไรหุ้นหลัก / High Beta ต่อเพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ เหนือ 1,400 จุดขึ้นไป 

          Accumulative Buy: KTB / CK

Stock Pick of the Day

          กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่ 
          1.   KTB  : ราคาปิด 18.40 บาท ราคาเหมาะสม 21.00 บาท
          a)   MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะมี Momentum บวก จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่ หลังเฟดปรับลดเป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2559 จากเดิม 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง 
          b)   KTB ได้ประโยชน์โดยตรงจากความคืบหน้าในการเปิดประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ที่จะมีความคืบหน้ามากขึ้นในเดือน เม.ย. เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนการปล่อยกู้สินเชื่อให้ภาครัฐฯสูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร 
          c)   คาดการณ์เงินปันผลปี 2558 หุ้นละ 0.80-1.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.3-5.4% 
          d)   Valuation ถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยซื้อขาย PER2559 ที่ 7.67x เทียบกับ BBL 8.28x. SCB 9.83x, KBANK 9.69x, BAY 10.56x
          2.   CK  : ราคาปิด 24.50 บาท ราคาเหมาะสม 34.00 บาท
          a)   MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และเชื่อว่าจะมีประเด็นบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า คือการอนุมัติและเปิดประมูลงานโครงการขนาดใหญ่  ได้แก่ 
          I.   โครงการ Motorway บางใหญ่-กาญจนบุรี, พัทยา-มาบตาพุด 
          II.  โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลือง
          III. โครงการรถไฟฟ้ารางคู่เส้นทางจิระ-มาบกะเบา 
          IV.  สนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 
          b)   กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง Underperform ตลาดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดย YTD -8.1% เทียบกับ SET INDEX +7.4% ขณะที่ CK -15.5% จึงเชื่อว่าจะได้อานิสงค์จากการเกิด Sector Rotation เนื่องจากหุ้นกลุ่มหลัก เช่น กลุ่มพลังงาน มี Upside ที่จำกัด 
          c)   ปัจจัยบวกระยะสั้น คือ การประชุมครม.ในวันอังคารนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาอนุมัติแผนลงทุนขนาดใหญ่รายโครงการอย่างน้อย 1 โครงการ ได้แก่ รถไฟฟ้า หรือ รถไฟรางคู่ 
          a)   NAV จากการถือหุ้นใน 3 บริษัทลูก ได้แก่ BEM, TTW และ CKP คิดเป็น 20.52 บาทต่อหุ้น CK จึงมี Downside Risk ที่จัด และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซื้อขายที่เพียง 4.00 บาทต่อหุ้น เทียบกับ BV งบเดี่ยวของ CK ที่ 13 บาทต่อหุ้น


Fund Flow Analysis
 
 
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 17 อีก US$747 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$1,100 ล้าน 

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมาลงทุนหนาแน่นต่อเนื่อง
 
          นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ มากถึง 3,645 ล้านบาท จาก 3 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 6,039 ล้านบาท ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้จะยังซื้อสุทธิขยับขึ้นเป็น 7,886 ล้านบาท 
          ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 3,445  รวม 2 วันทำการ Long สุทธิ 15,974 สัญญา เชื่อว่าจะเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Long อีกครั้ง และเมื่อพิจารณาจาก S50M16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แม้ว่าจะแคบลงเป็น 10.04 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 11.51 จุด ผลักดันให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิทะลุ 140,000 สัญญา เป็น 140,673 สัญญา  
          และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 มากถึง 21,599 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 29,824 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิเพียง 2,696 ล้านบาท โดยราคาพันธบัตรไทยยังคงขยับขึ้นต่อเนื่อง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงอีกเล็กน้อย 1.50bps จากวันก่อนหน้าลดลงมากถึง 6.97bps ปิดที่ 1.81%

Short-Selling วานนี้ 
ลดลงเป็นวันที่ 2 เหลือ 1,356 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,483 ล้านบาท 

NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 14 และเป็นการซื้อหนาแน่นในหุ้นรายตัว
          การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิมากถึง 3,405 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,813 ล้านบาท รวม 14 วันทำการ ซื้อสุทธิ 40,035 ล้านบาท เป็นการซื้อสุทธิหนาแน่นในหุ้นรายตัว สรุปภาพรวมได้ดังนี้
          1. กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 4 มากถึง 1,001 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 668 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 645 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 541 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร  ซื้อสุทธิ 389 ล้านบาท และกลุ่มขนส่งซื้อสุทธิ 269 ล้านบาท  
          2. ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ถูกขายสุทธิสูงสุด 113 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 43 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มไฟแนนซ์ ขายสุทธิ 44 ล้านบาท


ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
          ไม่มี

ยุโรป
          ไม่มี

จีน          
          ไม่มี

เอเชียแปซิฟิก
          ไม่มี

ไทย
          ไม่มี


โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 21 มี.ค. 2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 มี.ค. 2559 เวลา : 12:03:55

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:52 am