บมจ.กรุ๊ปลีส ผู้บุกเบิกธุรกิจดิจิตอลไฟแนนซ์ในอาเซียน ปรับโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่รองรับการบริหารจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้น หลังรุกขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างรวดเร็ว พร้อมทุ่มเงินลงทุน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 280 ล้านบาท เตรียมความพร้อมรุกธุรกิจใหม่ในประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน หลังจากประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในกัมพูชาและเริ่มขยายธุรกิจใน สปป.ลาว
ที่ประชุมคณะกรรมการหรือบอร์ดของบริษัทเมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา มีมติให้ปรับโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่เพื่อรองรับธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในต่างประเทศ โดยจัดแบ่งสำนักงานบริหารจัดการเป็น 2 สำนักงาน ประกอบด้วย สำนักงานด้านการพัฒนาธุรกิจของกลุ่มซึ่งดูแลบริษัทฯ ในเครือทั้งหมด 6 แห่ง ประกอบด้วย บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) หรือบริษัทแม่ในประเทศไทยและบริษัทลูกอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนบรรณ, GLF (กัมพูชา), GLL (สปป.ลาว) และ GL Holdings (สิงคโปร์) รวมถึงบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย (GLFI) ขณะที่อีกสำนักงานหนึ่งจะดูแลฝ่ายสนับสนุนธุรกิจของกลุ่ม ประกอบด้วย ฝ่ายไอที บัญชีและการเงิน
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดยังมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการบริหาร (Executive Board) เพื่อรับผิดชอบโดยตรงในงานบริหารจัดการด้านปฏิบัติการและประสานงานระหว่างบริษัทในเครือทั้งหมด โดยที่บอร์ดใหญ่ยังคงรับผิดชอบกำกับดูแลในระดับนโยบาย
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ กล่าวชี้แจงว่า บริษัท GL ในวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
“กลุ่มของเราได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ขนาดและเครือข่ายธุรกิจขยายตัวใหญ่โตมาก ส่งผลให้โครงสร้างการบริหารในอดีตไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไปและที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเราได้ปรับโมเดลจากธุรกิจเช่าซื้อมาเป็นดิจิตอลไฟแนนซ์ โดยให้บริการอย่างครบวงจรบน Platform ดิจิตอลไฟแนนซ์เพื่อรุกขยายธุรกิจในตลาดอาเซียนอย่างเต็มที่ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะกล่าวต่อว่า บริษัทในกลุ่ม GL ได้ขยายตัวอย่างมากภายใต้วิสัยทัศน์และการดำเนินธุรกิจเชิงรุกของประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ซึ่งจะยังคงดูแลรับผิดชอบโดยตรงในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทฯ ในเครือทั้ง 6 แห่ง ขณะที่นายทัตซึยะซึ่งเป็นน้องชายของนายมิทซึจิได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงทั้งชาวญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ไทยและรัสเซียรวมทั้งหมด 11 คน เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการประสานงานและบริหารจัดการในระดับปฏิบัติการให้มีประสิทธิผล
“ธุรกิจของ GL มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น หลังจากที่เราขยายตัวอย่างมากในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่นพอร์ตเงินกู้ในประเทศต่างๆ ก็ต้องใช้สกุลเงินของประเทศนั้นๆ จึงจำเป็นต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
อีกมิติหนึ่งของการปรับโครงสร้างครั้งนี้คือมติของคณะกรรมการในการแต่งตั้งกรรมการใหม่ชาวอเมริกันชื่อ Mr.Patrick Fisher ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยมีประสบการณ์อย่างกว้างขวาง จากการทำหน้าที่เป็นกรรมการในบริษัทหลายแห่งในภาคการเงินและการธนาคารของประเทศต่างๆ ในยุโรป เอเชียและลาตินอเมริกา โดยนอกจาก Mr. Fisher แล้ว บอร์ดของ GL ยังมีมติแต่งตั้งกรรมการใหม่อีก 2 คนคือ Group CFO Mr. Regis Martin และ CEO จากบริษัท GLF ในกัมพูชา Mr. Riki Ishigami ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องถูกนำเสนอเพื่อขอรับความเห็นชอบจากการประชุมใหญ่สามัญประจำปี (AGM) ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 28 เมษายนนี้
สำหรับการรุกขยายธุรกิจสู่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ที่ประชุมบอร์ดมีมติให้เพิ่มทุนบริษัท GL Holdings ในประเทศสิงคโปร์ จำนวน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งจัดสรรเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัทฯ ร่วมทุนในอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ PT GL Finance Indonesia (GLFI) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศนั้น โดย GL ถือหุ้น 65% ใน GLFI ส่วนที่เหลือถือโดยธนาคาร J Trust Bank ซึ่งเป็นพันธมิตรของ GL 20% และกลุ่มทุนท้องถิ่นอีก 15%
โดยการรุกสู่ตลาดอินโดนีเซียนับเป็นก้าวย่างที่สำคัญ หลังจากกลุ่ม GL ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจากการขยายธุรกิจในประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 582.89 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนถึง 400%
ข่าวเด่น