กลยุทธ์วันนี้ Test 1420
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX เปิดทะลุ 1,400 จุด และไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้น Big Cap นำโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทยหนาแน่น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,410.29 จุด บวก 17.44 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 57,622 ล้านบาท
ด้านเงินทุนต่างชาติกลับมาหนาแน่น ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากถึง 8,552 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Index Futures มากถึง 11,244 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 3 อีก 11,944 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาหนาแน่นทั้ง 3 ตลาดพร้อมกัน
- ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนก.พ. รายงานโดยธปท.
- ติดตามการประชุมกทค.วันนี้ เพื่อพิจารณาราคาประมูลคลื่นความถี่ 900MHz ช่วงที่ 1 ใหม่
มุมมองต่อตลาด
เราขยับน้ำหนักการลงทุนขึ้นเป็น “บวก” วันแรกในรอบ 4 วันทำการ จาก “กลาง” ช่วงก่อนหน้า โดยประเมิน SET INDEX มีโอกาสทดสอบด่าน 1,430-1,450 จุดได้ในระลอกนี้ เนื่องจาก
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณระมัดระวังต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
- กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย ดังจะเห็นได้จากการซื้อสุทธิที่หนาแน่นทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้วานนี้ เราเชื่อว่าจะยังเห็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องในช่วงนี้
- แม้ว่า Valuation ของ SET INDEX ณ ปัจจุบัน เท่ากับ 14.96x สำหรับ PER59 ซึ่งอยู่ในโซนแพงก็ตาม แต่หากเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP อย่างอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซื้อขายที่ 16.68x และ 18.38x ตามลำดับ ตลาดหุ้นไทยยังมีความถูกในเชิงเปรียบเทียบ
และหากวันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.พ.ของไทย ยังสามารถประคองภาพรวมได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนของภาครัฐ ต่อยอดกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำสุดใน 1Q59 และจะเติบโต qoq ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น – กลาง – ยาว ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ลดแรงกดดันจากภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อภาคการบริโภคภายในประเทศ
เราประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,400-1,425 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ระหว่าง 5.0-5.5 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ “นักลงทุนถือพอร์ตที่ทยอยสะสมมาก่อนหน้านี้ เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,430 จุดหรือสูงกว่า และหากต้องการเก็งกำไรเพิ่มเติม แนะนำให้เป็นหุ้น High Beta ที่เป็นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก”
Accumulative Buy: BBL/ CK
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “สะสม” ได้แก่
1. CK : ราคาปิด 25.00 บาท ราคาเหมาะสม 34.00 บาท
a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาด หลังแผนลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯมีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดยครม.ได้อนุมัติแผนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู – เหลืองแล้วในวันอังคารที่ผ่านมา
b) และคาดว่าจะมีการนำเสนอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้อนุมัติอีกในการประชุมครม.สัปดาห์หน้า ได้แก่ รถไฟฟ้ารางคู่ 4 เส้นทาง ดังนั้น จึงมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มมุมมองเชิงบวกและน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขึ้น จากก่อนหน้าที่มีความกังวลว่าการประมูลจะล่าช้า
c) หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยัง Underperform ตลาด โดย YTD -6.3% และ CK -13.8% เทียบกับ SET INDEX +9.5%
d) NAV จากการถือหุ้นใน 3 บริษัทลูก ได้แก่ BEM, TTW และ CKP คิดเป็น 21.10 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นว่า Downside Risk จำกัด และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซื้อขายที่เพียง 3.90 บาทต่อหุ้น เทียบกับ BV งบเดี่ยวของ CK ที่ 13 บาทต่อหุ้น
2. BBL : ราคาปิด 180.50 บาท ราคาเหมาะสม 196.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะไต่ระดับขึ้นต่อ จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่อย่างหนาแน่น หลังเฟดยืนยันว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ Dollar Index อ่อนค่าลงมากเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นตัวเร่งให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
b) BBL ได้ประโยชน์โดยตรง หากความต้องการใช้เงินทุนของภาคธุรกิจเอกชนกลับมาขยายตัวตามความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็น Corporate Loan สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร
c) จุดเด่นของ BBL อยู่ที่คุณภาพของสินทรัพย์ เนื่องจากมี Coverage Ratio สูงถึง 185% จึงเชื่อว่ามี Downside Risk ของประมาณการกำไรปี 2559 ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะต้องตั้งสำรองพิเศษเพิ่มเติมในปี 2559 เพื่อเพิ่ม Coverage Ratio
d) คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +15.1% yoy เป็น 3.9 หมื่นล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่คาดว่ากำไรจะเติบโต +9.4% yoy
e) Valuation ถูก ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 8.7 เท่า และ PBV2559 ที่ 0.90 เท่า เทียบกับกลุ่มธนาคารที่ซื้อขาย PBV2559 ที่ 1.11 เท่า
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 มากถึง US$773 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$97 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
กระแสเงินทุนหนาแน่น
นักลงทุนต่างชาติคงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากถึง 8,552 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 9,609 ล้านบาท ทำให้ยอด YTD ซื้อสุทธิขยับขึ้นทะลุ 10,000 ล้านบาท เป็น 17,187 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิอีกครั้ง มากถึง 11,244 สัญญา คาดว่าจะเป็นการเปิดสถานะ Long อีกครั้ง เพราะ S50H16 หมดอายุลงในวันนี้ ขณะที่ S50M16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index มากถึง 8.19 จุด ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิทะลุ 130,000 สัญญาอีกครั้ง เป็น 139,045 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 หนาแน่นถึง 11,944 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 15,832 ล้านบาท เทียบกับ 4 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 12,464 ล้านบาท ส่งผลให้ ราคาพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้นเด่น ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 3 มากถึง 5.47bps จากวันก่อนหน้าลดลงเพียง 0.37bps ปิดที่ 1.768%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็นวันที่ 6 เหลือ 630 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 746 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 เป็นลักษณะ Basket orders
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิมากถึง 7,855 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,884 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 10,421 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิแบบ Basket orders สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิสูงสุด 1,921 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 537 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 1,375 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 272 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 1,033 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 224 ล้านบาท กลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 786 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,419 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มประกันภัย กลับถูกขายสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 36 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง: เดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.0 แสนตำแหน่ง ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg consensus คาดที่ 2.03 แสนตำแหน่ง และเดือนก่อนหน้าที่ 2.05 แสนตำแหน่ง
ยุโรป
S&P ปรับประมาณการเศรษฐกิจอียูลง: เนื่องจากเศรษฐกิจอียูมีความเสี่ยงที่พึ่งพิงปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว ขณะที่ค่าเงินยูโรกลับมาแข็งค่า ส่งผลกระทบต่ออียู ในแง่ของอัตราเงินเฟ้อ และความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก ส่งผลให้สินค้า/บริการของอียูมีราคาที่แพง จากค่าเงินยูโรที่แข็งค่า ซึ่งอาจแข็งค่ามากเกินไป เศรษฐกิจในอียูปีนี้คาดว่าจะเติบโต 1.5% ลดลงจากการประเมินเดือนพ.ย.ที่ 1.8% และขยับเป็น 1.6% ในปี 2560 พร้อมปรับลดอัตราเงินเฟ้อปีนี้ลงเหลือ 0.4% จากเดิมคาด 1.1%
จีน
MSCI ต้องการให้ทางการจีนยกเลิกมาตรการ “trading halt”: MSCI Inc กล่าวถึง การนำดัชนีตลาดหุ้จีนเข้าคำนวณใน MSCI นั้น จะต้องให้แน่ใจว่าทางการจะมีใช้มาตรการ “trading halt” เหมือนที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว กว่าครึ่งของทั้งตลาด เพราะจะกลายเป็นความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ทั้งนี้ MSCI จะพิจารณาตลาดหุ้นจีนอีกครั้งในเดือนมิ.ย.
เอเชียแปซิฟิก
ผลผลิตภาคอุตฯ ของญี่ปุ่นลดลง: เดือนก.พ. หดตัว 6.2% yoy หดตัวลงแรงกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -5.9% yoy ทั้งนี้ทางการคาดการณ์ว่าผลผลิตเดือนมี.ค. จะฟื้นตัว 3.9% yoy โดยผลผลิตที่หดตัวลงแรงในเดือนก.พ. เป็นผลจากสินค้าทุน รวมถึงภาคการส่งออก และการระเบิดโรงเหล็ก ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตรถยนต์ของโตโยต้า
อินเดียอนุมัติการให้ต่างชาติเข้าลงทุนในธุรกิจ E-Commerce: โดยต่างชาติสามารถถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจ E-Commerce ได้ถึง 100% ซึ่งธุรกิจ E-Commerce ที่รวมถึงภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องอย่าง warehousing, สินค้าคงคลัง และระบบการชำระสินค้า
ธนาคารกลางเกาหลีใต้คาดเศรษฐกิจอาจโตต่ำกว่า 3%: แม้ว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำกัด โดยเศรษฐกิจใน 1Q59 เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ฟื้นตัว และ Sentiment ที่ดีขึ้น ทำให้ความผันผวนในตลาดเงินลดลง เงินทุนไหลออกเริ่มมีเสถียรภาพ แต่อุปสงค์ในต่างประเทศที่ยังอ่อนแอ และระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังคงกดดันเศรษฐกิจในภาพรวม
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ขยายตัวสวนทางคาด: เพิ่มขึ้น 2.4% yoy ในเดือน ก.พ. จากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 2.2% yoy ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดหดตัว 0.2% yoy นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มขึ้น 3.3% mom ทั้งนี้เป็นการเติบโต yoy ในเกือบทุกอุตสาหกรรมเช่น ค้าส่ง, ขนส่ง, สื่อสาร, อสังหาฯและการเงิน ขณะที่มีเพียงด้านเทคโนโลยีและการศึกษาลดลง 4.4% และ 1.8% yoy ตามลำดับ
ไทย
ร.ฟ.ท. จ่อเสนอรถไฟทางคู่ 4 เส้นทาง รวมกว่า 9 หมื่นล้านบาท: ร.ฟ.ท.จะเสนอโครงการรถไฟทางคู่ 4 เส้นทาง ต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า ประกอบด้วย 1.ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม.วงเงินประมาณ 2.98 หมื่นล้านบาท 2.ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท 3.ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงินประมาณ 1.72 หมื่นล้านบาท 4.ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม.วงเงินประมาณ 2.48 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าโครงการทั้งหมดประมาณ 9 หมื่นล้านบาท
บอร์ด PPP เร่งสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย: คณะกรรมการฯ เร่งให้กระทรวงคมนาคม และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไปหารือกันให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยาย(ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ) และมารายงานให้ในการประชุมเดือนเม.ย.นี้ เพื่อสรุปรายละเอียดของโครงการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือน พ.ค.นี้
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 31 มี.ค. 2559
ข่าวเด่น