นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ในฐานะโฆษก เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(Ft) ที่จะเรียกเก็บในบิลค่าไฟกับประชาชนงวดใหม่(พ.ค.-ส.ค.59)นั้นล่าสุดจากการประเมินเบื้องต้นพบหลายปัจจัยมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยรวมลดต่ำลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้จึงทำให้ค่าไฟฟ้าจะลดลงอย่างแน่นอน แต่จะเป็นอัตราใดคงจะต้องรอให้มีการพิจารณาตัวเลขที่ชัดเจนจากบอร์ดกกพ.อีกครั้งหนึ่ง
.jpg)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเอฟทีงวดใหม่ลดลง ได้แก่ 1.ความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่ชะลอตัวลงจากที่คาดการณ์ไว้ โดยสะท้อนจากตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่มีการปรับตัวเลขคาดการณ์โดยรวมที่ลดต่ำลง 2.อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งค่าเงินบาทมีความเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นมาระหว่าง 35-36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่อยู่ระดับ 37-38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 3.ราคาน้ำมันที่ภาพรวมยังคงทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งมีผลสะท้อนมายังราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงต่อเนื่อง 4.ต้นทุนเงินอุดหนุนพลังงานทดแทนจะปรับเพิ่มขึ้นทั้งรูปของอัตราส่วนเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้า (ADDER) และการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in-Tariff (FIT) ที่เดิมคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ค้างท่อจะมีการทยอยเข้ามามากในช่วงนี้แต่ปรากฏว่าไม่สามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้ทันทำให้ต้นทุนส่วนนี้ที่คิดว่าจะสูงขึ้นมากก็ลดลง
"หากต้นทุนค่าไฟที่เกิดจากโรงไฟฟ้าพลังานทดแทนในปีที่ผ่านมามีผลให้ค่าไฟสูงขึ้นถึง 18.6 สตางค์/หน่วย ในขณะที่ปีนี้โครงการโซลาร์ค้างท่อที่จะทยอยเข้าระบบกว่า 400 เมกะวัตต์ จะทำให้ค่าไฟงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค 2559 มีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก แต่เรกูเลเตอร์จะพยายามดูแลค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั้งปีไม่ให้ปรับขึ้นแน่นอน" นายวีระพล กล่าว
ข่าวเด่น