เมื่อ 8 เม.ย. 59 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และนางวรรษมน เพ็งดิษฐ์ ภรรยา ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ อดีตประธาน ป.ป.ช. และอดีตกรรมการ ป.ป.ช.อีก 8 คน ประกอบด้วย นายปรีชา เลิศกมลมาศ นายวิชา มหาคุณ นายวิชัย วิวิตเสวี พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง นายประสาท พงษ์ศิวาภัย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ นายณรงค์ รัฐอมฤต นายภักดี โพธิศิริ เป็นจำเลยที่ 1-10 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท
โดยโจทก์ ยื่นฟ้องว่ามีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาโจทก์ทั้งสองว่าร่ำรวยผิดปกติ เป็นเหตุให้ ป.ป.ช.มีมติที่ประชุมให้ไต่สวนข้อเท็จจริงโจทก์ที่ 1 และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอีกหลายคน โดยไม่มีวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่าพฤติการณ์ที่กล่าวหานั้น เข้าหลักเกณฑ์ที่จะรับพิจารณาไว้หรือไม่ นายปานเทพ อดีตประธาน ป.ป.ช. จำเลยที่ 2 รวบรัด เร่งรีบ ไม่จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยจำเลยที่ 2 -10 ร่วมกันมีมติให้อายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกอายัด เป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนโจทก์ที่ 1 จะดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ
ต่อมานายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นำคำสั่งอายัดทรัพย์สินออกไขข่าวว่า โจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติและน่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้ายทรัพย์สิน จึงมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว ทำให้โจทก์ทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 100 ล้านบาท และขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงที่ 631/ 2557 ไม่มีข้อความใดระบุว่า มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้กล่าวหาโจทก์ทั้งสอง จึงไม่ใช่กรณีมีผู้กล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ ที่ต้องพิจารณาข้อร้องเรียนเสียก่อนว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ แต่เป็นกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีมีเหตุสงสัยว่าโจทก์ที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 77 เห็นว่าจำเลยที่ 2-10 ดำเนินการไปตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ โดยโจทก์ทั้งสองยังสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดชั่วคราวไม่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2-10 ในฐานะเจ้าพนักงานกระทำการในหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองที่นายสรรเสริญ ในฐานะโฆษกของจำเลยที่ 1 ไขข่าวแพร่หลายถึงคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไว้ชั่วคราวไม่ใช่ข้อความเท็จ จึงไม่ใช่การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันเป็นเท็จ
ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งหมด จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ทั้งสองได้โดยไม่ต้องสืบพยาน อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้ยกฟ้อง
ข่าวเด่น