ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 36-42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 38-44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (11 เม.ย.-15 เม.ย. 2559)
ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้คาดว่าจะผันผวนและได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการประชุมระหว่างผู้ผลิตน้ำมันดิบ ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปครวม 12 ประเทศ ในวันที่ 17 เม.ย. นี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงสนับสนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่มี แนวโน้มอ่อนค่าลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจจะยัง ไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 26-27 เม.ย.นี้
ประกอบกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ มีแนวโน้ม ชะลอตัวลง สะท้อนได้จากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 15 ติดต่อกัน มาสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 76 ปี นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐที่เริ่มปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หลังจากโรงกลั่นในสหรัฐ ทยอยกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาน้ำมันดิบ
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ :
จับตาการประชุมของผู้ผลิตน้ำมันดิบทั้งในและนอกกลุ่มโอเปครวม 12 ประเทศ ในวันที่ 17 เม.ย. นี้ ณ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงในการคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ระดับเดียวกับ ม.ค.2559 และรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันดิบ ซึ่งล่าสุดผลการประชุมยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังจากที่เจ้าชายของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่าจะไม่จำกัดปริมาณการผลิต หากอิหร่าน รัสเซีย เวเนซูเอล่า และผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อื่นๆ ไม่ปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าอิหร่านจะตอบรับเข้าร่วมการประชุม แต่ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ปรับลดการผลิตจนกว่าจะสามารถกลับมาส่งออกได้ในระดับเดิมก่อนที่จะถูกคว่ำบาตร ในขณะที่ ทางฝั่งของรัสเซีย ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือน มี.ค. ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 3% จากเดือนก่อนหน้า แตะระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี ที่ 10.91 ล้านบาร์เรล ซึ่งสร้างความเคลือบแคลงเกี่ยวกับความร่วมมือของรัสเซียในการรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันดิบ
ค่าเงินดอลลาร์ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงและส่งผลกดดันราคาน้ำมันดิบน้อยลง หลังรายงานการประชุม Fed ประจำวันที่ 15-16 มี.ค. ระบุว่า Fed ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เนื่องจากยังคงกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่ารายงานการประชุมของ Fed เป็นการส่งสัญญาณว่า Fed จะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 26-27 เม.ย.นี้ ซึ่งส่งผลให้ตลาดลดการคาดการณ์ลงว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ มีแนวโน้มชะลอตัวลง สะท้อนได้จากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 15 ติดต่อกัน มาสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 76 ปี หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงได้ส่งผลให้ผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ประสบปัญหาภาวะทางการเงิน และชะลอกำลังการขุดเจาะและผลิตน้ำมันลง โดยปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ สิ้นสุด ณ วันที่ 1 เม.ย. ลดลง 10 แท่น สู่ระดับ 362 แท่น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2552 ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในปี 2559 จะชะลอตัวลงกว่า 7% สู่ระดับ 8.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 9.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2558 สำหรับในปี 2560 คาดว่าปริมาณการผลิตจะลดลงมาที่ 8.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรกในรอบ 8 สัปดาห์ โดยล่าสุด EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง (สิ้นสุด ณ วันที่ 1 เม.ย.) ปรับตัวลดลงกว่า 4.9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 529.9 ล้านบาร์เรล ซึ่ง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 3.2 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐ เป็นผลมาจากโรงกลั่นในสหรัฐบางส่วนเริ่มกลับมาดำเนินการตามปกติ หลังจากสิ้นสุดฤดูปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น โดยมีการ เพิ่มกำลังการกลั่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูขับขี่ประจำไตรมาส 2 ตลอดจนเป็นผลมาจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม จีดีพี (Q4/15) และการลงทุนทางตรงของจีน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และดัชนีราคาผู้บริโภคของยูโรโซน ดัชนีราคาผู้ผลิต- ผู้บริโภค และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (4 - 7 เม.ย. 59)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.93 ดอลลาร์ ปิดที่ 39.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.27 ดอลลาร์ ปิดที่ 41.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยตลาดน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ปรับตัวลดลง 4.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงมาแตะระดับ 529.90 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล สาเหตุเนื่องจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่ปรับลดลงและโรงกลั่นในสหรัฐ เริ่มกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุง
นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงหนุนจากการเจรจาระหว่าง ผู้ผลิตในกลุ่มโอเปคและนอกกลุ่มโอเปคที่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จมากขึ้น หลังคูเวตกล่าวว่า แม้ว่าอิหร่านจะไม่ปฏิบัติตามกับ ข้อตกลง ผู้ผลิตก็มีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ในอันที่จะหาข้อสรุปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดิบ
ข่าวเด่น