บมจ.เถ้าแก่น้อย ผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายปันผลงวดสุดท้ายปี 2558 ในอัตรา 0.105 บาท/หุ้น วันที่ 29 เมษายนนี้ ด้านผู้บริหารเผยยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจีน อินโดนีเซีย พร้อมลุยตลาด CLMV เต็มที่จากสัญญาณการเติบโตที่ชัดเจน ส่วนตลาดในประเทศส่งสินค้าใหม่กระตุ้นตลาดจูงใจนักท่องเที่ยว ดันยอดขายรวมปีโตอย่างน้อย 10-15% เผยโรงงานใหม่คืบหน้าคาดแล้วเสร็จพร้อมเสริมกำลังผลิตได้ต้นปี 2560 รองรับโอกาสในอนาคต
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) "TKN" ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสาหร่ายแปรรูปในรูปแบบต่างๆ อาทิ สาหร่ายทอดกรอบ สาหร่ายย่าง และ สาหร่ายอบ ภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายของปี 2558 เพิ่มในอัตราหุ้นละ 0.105 บาท รวมเป็นเงิน 144,900,000 บาท โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 29 เมษายน 2559
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกเป็นจำนวนเงิน 127,500,000 บาท คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.092 บาท เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2558 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดไตรมาส 3 เป็นจำนวนเงิน 86,700,000 บาท คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.063 บาท เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 รวมการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2558 เป็นจำนวนเงิน 359,100,000 บาท คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.260 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเฉพาะกิจการ สำหรับการดำเนินงานในปี 2559 เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะยอดการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ตลอดจนในแถบอเมริกาและยุโรปที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา
โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมยังเป็นสินค้าประเภทสาหร่ายย่าง และสาหร่ายทอด ขณะที่สินค้าในกลุ่มอื่นๆมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังเจาะตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเวียดนามและพม่าที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เพื่อเป็นช่องทางการหารายได้จากต่างประเทศเพิ่มอีกทางหนึ่ง
ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศมีการเติบโตขึ้นเช่นกัน โดยล่าสุดบริษัทได้มีการออกสินค้าใหม่ 2 รายการ ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตราเถ้าแก่น้อยราเมน และเครื่องดื่มมะพร้าวพร้อมชงสำเร็จรูป ตราเถ้าแก่น้อย เพื่อวางจำหน่ายในร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ 5 สาขา โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยและสนใจซื้อสินค้ากลับประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้น 10-15% จากยอดขายปี 2558 ที่ 3,499.7 ล้านบาท โดยรักษาส่วนแบ่งรายได้จากการส่งออกประมาณ 52% และรายได้จากการจำหน่ายในประเทศ 48% อัตราใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสินค้าสาหร่ายแปรรูปภายใต้ตราสินค้า"เถ้าแก่น้อย"ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ62% ของขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายปรุงรสในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 2,500 ล้านบาท
ส่วนโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างโดยใช้เงินจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับยอดขายที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น มีความคืบหน้าไปกว่า 60% คาดว่าจะเสร็จพร้อมดำเนินการได้ต้นปี 2560 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมมากกว่าเท่าตัวเพื่อรองรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ขณะที่การปรับปรุงโรงงานเดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น จะช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อหน่วยลดลง และจะส่งผลต่อที่ดีต่อบริษัทในอนาคต
"บริษัทยังสามารถเดินหน้าได้ตามแผนการที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่มีการขยายตัวมากขึ้น โดยเราได้เข้าไปทำตลาดในกลุ่ม CLMV ที่เป็นโอกาสในการหารายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ และการปรับปรุงโรงงานเดิมจะช่วยรองรับการขยายตัวของยอดขายที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ขณะที่โรงงานใหม่จะรองรับการผลิตในอนาคต โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวเป็นผู้นำด้านสินค้าสาหร่ายแปรรูปในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการสร้างยอดขายให้ได้ 5, 000 ล้านบาทในปี 2561 และยอดขายถึง 10,000 ล้านบาทในปี 2568 หรือ 10 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างให้"เถ้าแก่น้อย"แบรนด์สินค้าไทยมีจำหน่ายไปทั่วโลกอย่างที่ตั้งความเป้าหมายไว้ จากปัจจุบันที่มีจำหน่ายกว่า 35 ประเทศ"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ข่าวเด่น