คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบให้ปรับลดค่าเอฟทีในงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 ลง 28.49 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีในงวดดังกล่าวอยู่ที่ -33.29 สตางค์ต่อหน่วย สะท้อนต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐที่ต่ำกว่าคาดการณ์จากการเลื่อนจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ FiT
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยภายหลังจากการประชุม กกพ. ว่า กกพ. ได้พิจารณาปรับลดค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 ในอัตรา -33.29 สตางค์ต่อหน่วย ลดลง 28.49 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเอฟทีที่เรียกเก็บในเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2559 ที่ -4.80 สตางค์ต่อหน่วย โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับลดค่าเอฟทีในงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 นี้ คือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันเตาเฉลี่ยย้อนหลัง 6-18 เดือน ที่มีการปรับลดไปก่อนหน้า และการเลื่อนจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการยกเลิกสัญญาของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง ทำให้ค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐในการรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ Adder และ FiT ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
นอกจากนี้ โฆษก กกพ. ยังได้กล่าวสรุปถึงปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิงและการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 ดังนี้
1. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจำนวน 0.33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนขายเฉลี่ยที่เกิดขึ้นจริงในช่วงวันที่ 1-24 มี.ค. 2559 ที่ 35.38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
2. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 65,951 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2559 (60,807 ล้านหน่วย) ร้อยละ 8.46
3. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักร้อยละ 64.22 รองลงมาเป็นการซื้อไฟฟ้าจากลาวและมาเลเซียร้อยละ 12.33 ถ่านหินลิกไนต์ร้อยละ 8.28 และถ่านหินนำเข้าร้อยละ 7.68
4. แนวโน้มราคาเชื้อเพลิง คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 234.94 บาทต่อล้านบีทียู ปรับตัวลดลงจากงวดที่ผ่านมา 26.25 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาและคาดว่ายังคงทรงตัวต่อเนื่องในระดับต่ำ ราคาน้ำมันเตาอยู่ที่ 11.94 บาทต่อลิตร ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.09 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 16.03 บาทต่อลิตร ลดลงจำนวน 3.33 บาทต่อลิตร ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,842.47 บาทต่อตัน ลดลงไป 23.09 บาทต่อตัน และราคาลิกไนต์อยู่ที่ 693 บาทต่อตัน ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าคำนวณได้เท่ากับ -16.48 สตางค์ต่อหน่วย
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของภาครัฐ ได้แก่ Adder และ FiT ในเดือน พ.ค.-ส.ค. 2559 ได้ปรับลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนหลายรายทั้ง SPP และ VSPP มีการเลื่อนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไปจากแผน จึงส่งผลให้ค่าเอฟทีลดลงจากช่วงที่ผ่านมาประมาณ 6.16 สตางค์ต่อหน่วย ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการนำส่งเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าได้ลดลงเล็กน้อยจำนวน 0.03 สตางค์ต่อหน่วย จึงส่งผลให้ค่าเอฟทีรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 คำนวณได้เท่ากับ -22.67 สตางค์ต่อหน่วย
5. จากการปรับการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. – เม.ย. 2559 ทำให้มีส่วนต่างของเงินค่าเอฟทีที่คำนวณได้ และค่าเอฟทีที่คาดว่าจะเรียกเก็บ (ค่า AF) สะสมจำนวน -12,512 ล้านบาท หรือเท่ากับ -20.81 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น และความต้องการใช้ไฟฟ้าในเดือน ก.พ. 2559 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์จากสภาพอากาศที่เย็นลงทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าลดลงจากแผนเดิม 11.49 สตางค์ต่อหน่วย รวมทั้ง โครงการพลังงานหมุนเวียนต่างๆ เช่น โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยังไม่ได้เข้าจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเดิมหรือโซลาร์ค้างท่อ โครงการพลังงานลม เป็นต้น ซึ่งเดิมมีกำหนดจะทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปลายปี 2558 ที่ผ่านมา แต่ได้เลื่อนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไป รวมทั้งมี SPP ประเภท Non-Firm หลายรายหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า จึงทำให้ค่าส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าในระบบ Adder และ FiT ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ 9.30 สตางค์ต่อหน่วยด้วย และเงินนำส่งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่ลดลงเล็กน้อยจำนวน 0.02 สตางค์/หน่วย
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ประมาณการค่าเอฟทีเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 ที่ กฟผ. คำนวณได้เท่ากับ -43.48 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งปรับลดลงจากรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2559 จำนวน -38.68 สตางค์ต่อหน่วย และ กกพ. ได้พิจารณาแนวโน้มค่าเอฟทีรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2559 ซึ่งคำนวณได้เท่ากับ -22.51 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากประมาณการค่าเอฟทีในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 เท่ากับ 20.97 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าเอฟทีมีความผันผวนมาก เนื่องจากปัจจัยค่า AF ในเดือน ม.ค. –เม.ย. 2559 ดังนั้น เพื่อเป็นการบริหารค่าเอฟทีในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2559 ไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไปและเป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ใช้ไฟฟ้า กกพ. จึงเห็นควรให้นำค่าเอฟทีรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 และ ก.ย. – ธ.ค. 2559 มาเฉลี่ยเท่ากับ -33.29 สตางค์ต่อหน่วย และนำมาใช้ในการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559
และจากการกำหนดค่าเอฟทีเรียกเก็บงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 ในอัตรา -33.29 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง 28.49 สตางค์ต่อหน่วย จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.4227 บาทต่อหน่วย(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือลดลงร้อยละ 7.68 ซึ่งจากมติ กกพ. ดังกล่าวข้างต้น สำนักงาน กกพ. จะเผยแพร่รายละเอียดทั้งหมดผ่านทาง www.erc.or.th เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2559 ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ก่อนที่จะนำผลการรับฟังความคิดเห็น มาพิจารณาและให้การไฟฟ้าประกาศเรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในรอบดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อไป
ข่าวเด่น