'เรกูเลเตอร์' ยึดหลักเกณฑ์ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติจากหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร เหลือ 167 ราย (เฉพาะสหกรณ์ภาคการเกษตร) รวม 798.62 เมกะวัตต์ พร้อมเดินหน้าจับสลากจากผู้ที่ผ่านคุณสมบัติรอบแรกต่อหน้าสักขีพยานในวันที่ 21 เมษายน นี้ เพื่อให้ได้ผู้ผลิตไฟฟ้าในโครงการ“โซลาร์ฟาร์ม” สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดโครงการหรือกิจการที่ได้รับการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท เมื่อวันที่ 29 มี.ค. นั้น โดยภายหลังจากที่ได้ปิดยื่นคำขอรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร หรือโซลาร์ฟาร์ม เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้ยื่นคำขอขายไฟฟ้า รวมจำนวน 604 ราย (มีผู้ถอนคำขอออกไปจำนวน 14 ราย) เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองผู้ยื่นคำขอที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด
โดยมีคณะอนุกรรมการที่มาจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่แต่งตั้งขึ้นมา ได้ดำเนินการทบทวนและตรวจสอบคุณสมบัติและคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และแนวทางการตรวจสอบตามที่ กกพ. ได้ให้แนวทางไว้ รวมถึงหลักเกณฑ์การใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภทที่ กพช. ได้ให้ความเห็นชอบตามคำสั่งหัวหน้า คสช. 4/2559 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 59 ซึ่งได้พิจารณาความครบถ้วนของเอกสาร โดยเฉพาะที่ดินจัดตั้งโครงการต้องอยู่ในเขตพื้นที่ตามประกาศข้อมูลศักยภาพของระบบไฟฟ้า รวมทั้งได้พิจารณาตรวจสอบเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย (1) กรณีที่ดินที่จัดตั้งโครงการเป็นที่ราชพัสดุต้องมีหนังสือได้รับอนุมัติจากกรมธนารักษ์ภายในวันที่ 20 พ.ย. 58 (2) กรณีประสงค์จะให้เอกชนร่วมลงทุนในฐานะผู้สนับสนุนโครงการต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดใน พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 พ.ย. 58 และ (3) เกณฑ์คุณสมบัติทุนจดทะเบียนผู้สนับสนุนโครงการจะต้องสอดคล้องกับกำลังการผลิตทั้งหมด ที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งพบว่ามี ผู้ยื่นคำขอขายไฟฟ้าที่ผ่านคุณสมบัติ (เฉพาะสหกรณ์ภาคการเกษตร) เพื่อเข้าสู่การคัดเลือกโดยการจับสลาก รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 167 ราย และไม่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 67 โครงการ จากที่สหกรณ์ภาคการเกษตรได้ยื่นคำขอขายไฟฟ้ามา จำนวน 234 โครงการ และคิดเป็นปริมาณการเสนอขายไฟฟ้ารวมเป็นจำนวน 798.62 เมกะวัตต์ และเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้ในเฟสแรกจำนวน 300 เมกะวัตต์ ยังคงสูงกว่าเป้าหมายอยู่ทั้งนี้ ได้ยกเลิกประกาศ สำนักงาน กกพ. เรื่อง รายชื่อโครงการฯ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ ฉบับลงวันที่ 11 ธ.ค. 58 แล้ว
“สำหรับจำนวนสหกรณ์ภาคการเกษตร ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ 67 รายนั้น จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ที่ได้ยื่นมา พบว่า มีหลายสาเหตุที่ไม่ผ่านคุณสมบัติการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ที่ กกพ. กำหนดไว้ อาทิ ไม่ผ่านมาตรฐานสหกรณ์ ที่ตั้งโครงการไม่ได้อยู่ในแดนดำเนินการของสหกรณ์ หรือหนังสือแจ้ง Feeder ระบุชื่อผู้ขอตรวจสอบไม่ตรงตามคำขอ เป็นต้น” และ
“ทั้งนี้ จำนวนหน่วยงานราชการทั้งหมด ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ 370 ราย สาเหตุสำคัญที่ไม่ผ่านคุณสมบัติการคัดเลือก ก็เนื่องจากไม่พบเอกสารหลักฐานว่าได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 พ.ย. 58 ตามหลักเกณฑ์ที่ กกพ. ได้กำหนดไว้”
นอกจากนี้ กรณีประเด็นคุณสมบัติของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ แม้จะไม่ใช่ส่วนราชการ แต่ยังถือได้เป็นหน่วยงานของรัฐ จึงต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ รวมถึงกรณีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานราชการ ได้ใช้ที่ดินของวัดร้าง ศาสนสมบัติกลาง หรือที่ดินที่บริจาค เพื่อดำเนินโครงการนั้น ก็ยังคงต้องพิจารณาตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และ พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ตลอดจนหลักเกณฑ์ตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ที่กำหนดให้ ต้องใช้ที่ดินจากหน่วยงานราชการหรือที่ราชพัสดุที่ได้ครอบครองหรือมีกรรมสิทธ์แล้วเท่านั้น กรณีหากใช้ที่ดินของวัดร้าง ตามกฎหมายก็ถือว่าเป็นเพียง การปกครอง ดูแลรักษา ยังไม่ถือเป็นการครอบครองในฐานะมีกรรมสิทธ์ในที่ดิน ซึ่งถ้าโครงการดังกล่าวไม่ได้ร่วมทุนกับเอกชนและไม่ได้ผ่านกระบวนการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ ก็ถือว่าไม่ผ่านหลักเกณฑ์ หรือเช่นเดียวกับกรณีใช้ที่ดิน ศาสนสมบัติกลางหรือที่ดินที่บริจาคที่สำนักงานพระพุทธฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ในที่ดิน ก็ถือว่าเป็นโครงการของหน่วยงานราชการ ซึ่งต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ หากไม่ได้ดำเนินการก็ถือว่าไม่ผ่านหลักเกณฑ์
โดยในขั้นตอนต่อไป กกพ. จะคัดกรองผู้ยื่นคำขอที่ผ่านคุณสมบัติด้วยวิธีจับสลาก สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากสหกรณ์ภาคการเกษตร ตามเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้า ในเฟสแรก จำนวน 300 เมกกะวัตต์ ซึ่งในวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน นี้ ณ ห้องวิภาวดีบอลรูมบีและซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยผู้ที่ผ่านคุณสมบัติต้องนำเอกสารใบรับคำขอที่ได้รับในวันสมัคร ไปแสดงตนเพื่อลงทะเบียนในเวลา 08.00 – 09.30 น. ก่อนทำการจับสลากตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และสำนักงาน กกพ. จะประกาศผลการคัดเลือกในเบื้องต้นหลังจาก จับสลากทุกโครงการแล้วเสร็จ และประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เมษายน 2559 ทั้งนี้ เจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559 โดยผู้สนใจติดตามรายละเอียดหลักเกณฑ์การจับสลากเพิ่มเติมได้ที่ www.erc.or.th นายวีระพลฯ ได้กล่าวเพิ่มเติม
ข่าวเด่น