นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ลงนามในประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน พ.ศ.2559 เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้บังคับหลักประกัน ภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 และทำให้ผู้บังคับหลักประกันเป็นวิชาชีพที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดจะบังคับใช้ได้กลางเดือนพ.ค.นี้
ทั้งนี้ผู้บังคับหลักประกัน จะมีความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมาย ในฐานะเป็นคนกลาง ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่มีอยู่กว่า 2 ล้านรายทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้ เพราะต้องได้รับความยินยอมทั้งจากผู้กู้ หมายถึงเอสเอ็มอี และผู้ให้กู้ หมายถึงสถาบันการเงิน ให้เป็นผู้บังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และมีหน้าที่ เช่น ไต่สวนข้อเท็จจริงเมื่อมีเหตุบังคับหลักประกัน การกำหนดวงเงินประกัน การวินิจฉัยเหตุบังคับหลักประกัน หรือบำรุงรักษา หรือดำเนินการจนกว่าจะขายกิจการได้ กรณีที่เอสเอ็มอีนำกิจการมาเป็นหลักประกันกู้เงิน เป็นต้น
"กระทรวงฯ ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยต้องมีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด ได้แก่ 1.ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ หรือผู้ประกอบวิชาชีพผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่ได้รับใบอนุญาตต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 3 ปี และ 2.ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับหลักประกันที่ได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 3 ปี ต้องผ่านการอบรมในวิชากฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ และจรรยาบรรณผู้บังคับหลักประกันด้วย"
ทั้งนี้ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค.59 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ SMEs ที่ไม่มีหลักประกันในการขอกู้เงิน สามารถนำหลักประกันอื่นๆ ที่นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ เช่น กิจการสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา นำมาเป็นหลักประกันขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ โดยไม่ต้องส่งมอบสินทรัพย์ให้แก่สถาบันการเงิน ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้ด้วยการใช้ทรัพย์สินนั้นผลิตสินค้าหรือบริการต่อไปได้
ข่าวเด่น