ทีดีอาร์ไอแนะข้อควรพิจารณาในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2559
รศ.ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
เมื่อใกล้ถึงวันแรงงานก็มีเสียงเรียกร้องจากตัวแทนภาคแรงงานขอขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ(ตามสัญญา)อีกแล้วครับคำถามก็คือถึงเวลาที่ค่าจ้างของลูกจ้างเอกชนหลังจากแช่แข็งมาแล้ว 3 ปีควรจะขึ้นได้หรือยัง ที่จริงคงยังจำกันได้ว่าคณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติได้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2556 หลังจากทดลองขึ้นเฉพาะ 7 จังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีเมื่อกลางปี 2555 โดยขอแช่แข็งค่าจ้างขั้นต่ำ ไปอีก 3ปี แต่ถึงแม้ว่าค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าจ้างของแรงงานก็ยังเพิ่มอยู่ดีตามการขึ้นค่าจ้างประจำปี เช่น
จากข้อมูลการสำรวจการมีงานทำของประชากรไตรมาส 3 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าค่าจ้างเฉลี่ยจะยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะช่วงปี 2556 ถึง 2557 เพิ่มขึ้นถึง 11.5% สำหรับแรงงานโดยทุกกลุ่มอายุ ขณะที่แรงงานวัย 20-24 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานทำงานได้ไม่นาน เงินเดือนเพิ่มขึ้น 9.7% เช่นกัน สาเหตุที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงทั้งแรงงานโดยรวมและแรงงานใหม่ ก็เนื่องจากสถานประกอบการจำนวนมากยังขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้แรงงานแรกเข้ายังไม่ครบ จึงทยอยปรับขึ้นค่าจ้างค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาค่าจ้างเฉลี่ยของปี 2557 ถึง 2558 หลังสิ้นสุดข้อตกลงแช่แข็งค่าจ้างขั้นต่ำจะพบว่าค่าจ้างกลับมาสะท้อนความเป็นจริงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผลก็คือ ในภาพรวมทุกอายุค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 1.7% และกลุ่มแรงงานใหม่อายุ 20-24 ปี เพิ่มขึ้นเพียง 0.7% เท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาจากกลุ่มอายุ 15-19 ปี บางส่วนยังทำงานไม่เต็มที่ตามกฎหมาย ทำให้ค่าจ้างรายวันเฉลี่ยยังต่ำกว่า 300 บาท เนื่องจากใช้เงินเดือนหารด้วย 26 วันเหมือนกับกลุ่มอายุอื่นๆ
สิ่งที่พอจะเห็นได้จากข้อมูลชุดนี้คือ ค่าจ้างปี 2556-57 ยังเพิ่มขึ้นถึง 8.3% เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มอายุอื่นๆ แม้แต่ปี 2557-58 อัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามกติกาเดิม คือ จะไม่ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจนกว่าจะถึงปี 2559 อย่างไรก็ตาม วันแรงงานปี 2558 จนถึงปลายปี 2558 กลุ่มตัวแทนสหภาพทางเลือกเคยขอให้ขึ้นค่าจ้างเป็น 360 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตามเงื่อนไขเดิมตั้งแต่ต้นปี 2559 แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลผ่านคณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติเมื่อต้นปี 2559 ขอให้ชะลอการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับแรงงานแรกเข้า เนื่องจากสาเหตุหลักๆ มาจากสภาพทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งออกและการขยายตัวของ GDP ยังอยู่ในระดับต่ำ กำลังผลิตด้านอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 60% เศษเท่านั้นเป็นต้น (ดูตารางที่ 1 ประกอบ)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 มีข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ควรพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 5-7% แต่ให้ขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่
จากเหตุผลดังกล่าว ผู้เขียนเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องพิจารณากันอย่างจริงจังว่าถึงเวลาที่ต้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหรือยังโดยต้องพิจารณาปัจจัยด้านบวกและด้านลบให้รอบคอบก่อนจะพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอีกครั้ง ดังนี้
กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อพิจารณาจากข้อดีข้อเสียข้างต้นก็พอจะตัดสินใจได้ว่า
1. สำหรับปี 2559 เห็นด้วยบางส่วนกับข้อเสนอของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่จะให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 5-7% แต่ไม่ขึ้นทั่วประเทศ กล่าวคือ เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ผู้เขียนต้องการให้ขึ้นเพียง 7 จังหวัดที่เคยขึ้นไปเมื่อกลางปี 2555 ก่อนเช่น 15 บาท แล้วอาศัยข้อมูลของการสำรวจของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (คณะกรรมการค่าจ้าง) พิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูง เช่น จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของต่างชาติมากๆ นอกเหนือจาก “ภูเก็ต” เช่น พัทยา (ชลบุรี) และเชียงใหม่ เป็นต้นให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามค่าครองชีพได้แต่ต้องปรึกษาคณะกรรมการค่าจ้างจังหวัดด้วย
2. สำหรับปี 2560 คณะกรรมการค่าจ้างก็พิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไปเลยโดยอัตโนมัติจากฐานค่าจ้างเดิมของปี 2559 เช่น จังหวัดมุกดาหารมีดัชนีค่าครองชีพ 3% จากฐาน 300 บาทค่าจ้างขั้นต่ำปี 2560 ก็คือ 309 บาท
3. สถานประกอบการตั้งแต่ ขนาดกลางและใหญ่ทุกแห่งกฎหมายต้องบังคับให้มีโครงสร้างค่าจ้างตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไปเพื่อมิให้สถานประกอบการเอาเปรียบลูกจ้างโดยอาศัยค่าจ้างขั้นต่ำเป็นบรรทัดฐานในการขึ้นค่าจ้างประจำปี
ข้อเสนอที่กล่าวมามีเจตนารมณ์แต่เพียงต้องการให้พิจารณาปัจจัยแวดล้อมตามกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำให้ครบถ้วนรอบคอบทุกคนทราบดีว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่บนพื้นฐานของไตรภาคีซึ่งถ้าไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกทุกฝ่ายเจรจาอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้เหมือนกันเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกันรับรองได้ว่าปี 2559 ตกลงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้แน่นอน
ข่าวเด่น