พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักคิดนักเขียนแสดงความเป็นห่วงว่า นโยบายส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพของรัฐบาล จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เหมือนกับการส่งเสริมเอสเอ็มอี และโอทอป ของรัฐบาลก่อน ๆ ว่า รัฐบาลนี้คำนึงถึงความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเอสเอ็มอีรูปแบบใหม่ ไม่ใช่การทุ่มงบประมาณลงไปอย่างไร้ค่าตามที่มีการกล่าวอ้าง และยังครอบคลุมหลายด้าน เช่น สตาร์ทอัพด้านการสื่อสาร การเกษตร การท่องเที่ยว ฯลฯ หรือเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ ที่จะมีความยั่งยืนในอนาคต เพราะสินค้าจะมีมูลค่าเพิ่มและต่อยอดพัฒนาได้ ถือเป็นนักรบใหม่เอสเอ็มอี
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งเอสเอ็มอีเดิมที่มีอยู่กว่า 2 ล้านราย ซึ่งมีปัญหาความแตกต่างกัน ทั้งในด้านขนาด เงินทุน และองค์ความรู้ แต่จะช่วยแก้ปัญหา โดยจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาตามศักยภาพ ซึ่ง เอสเอ็มอี คือ ผู้สร้างรายได้และจ้างงานที่สำคัญ โดยกว่าร้อยละ 99.5 เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และที่เหลือร้อยละ 0.5 เป็นธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งเป็นกิจการที่มีศักยภาพต่อจีดีพี รัฐบาลจึงผลักดันให้เอสเอ็มอีเติบโตจากขนาดเล็กไปสู่ขนาดกลาง และขนาดกลางไปสู่ขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับศักยภาพของประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
พล.ต.สรรเสริญ ระบุว่า การแสดงความเห็นโดยขาดการศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนจากผู้รู้ หรือผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นแต่เพียงการจินตนาการเทียบเคียงเอาเอง อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดจากข้อมูลที่บิดเบือนได้
ข่าวเด่น