เอไอเอส ขอชี้แจงกรณีการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 59 ที่ผ่านมา หลังระบุว่า เอไอเอสทำให้รัฐสูญเสียรายได้หลายแสนล้านบาท ย้ำตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ เคารพกฏเกณฑ์ กติกามาโดยตลอด เพราะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถตรวจสอบได้ ระบุชัดรัฐได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ประชาชนผู้ใช้บริการได้ใช้บริการที่ถูกลง
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส ขอชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังมีการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค.59 ที่ผ่านมาใน 3 ประเด็นดังนี้ ข้อกล่าวหากรณี เอไอเอส แก้ไขสัญญาสัมปทานโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย ทำให้ เอไอเอส ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานแก่ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) เป็นเงิน 88,359 ล้านบาทนั้น เอไอเอส ขอยืนยันว่าการแก้ไขสัญญาต่างๆดังกล่าวนั้น ก่อให้เกิดประโยชน์กับรัฐ และรัฐได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชาชนหรือผู้ใช้บริการได้ใช้บริการในราคาถูกลง อีกทั้งการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ผ่านมาผู้ประกอบการทุกรายดำเนินการเหมือนกันหมด และเป็นการดำเนินการโดยสมัครใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่ว่า เอไอเอสจะกระทำได้เองฝ่ายเดียว และในส่วนของทีโอที ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ก็ได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาคณะกรรมการของทีโอที ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สภาพัฒน์ฯ ซึ่งได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐและประชาชน จึงอนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาระหว่างกันได้
ทั้งนี้การแก้ไขสัญญาดังกล่าว ประชาชนยังได้ใช้บริการในราคาถูกลง เช่น กรณีการกำหนดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน(พรีเพด) โดยมีเงื่อนไขให้ต้องมีการลดอัตราค่าใช้บริการลง ซึ่งเป็นผลทำให้ค่าใช้บริการถูกลง ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน และสามารถเลือกใช้บริการได้ตามความพอใจ เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป ได้เข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเมื่อค่าบริการถูกลงจึงส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ทีโอที ได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้ใช้บริการเช่นเดียวกัน และสัญญาหลักตลอดจนการแก้ไขสัญญาต่างๆ ก็มีผลบังคับใช้และผูกพันคู่สัญญาเรื่อยมาโดยตลอดจนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2558
ส่วนประเด็นข้อกล่าวหา กรณีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยมีมติคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องชำระภาษีสรรพสามิต ซึ่งในกรณีของเอไอเอสเป็นเงินจำนวน 31,462 ล้านบาทนั้น เอไอเอส ขอยืนยันว่ารัฐมิได้รับความเสียหายใดๆ และรัฐยังคงได้ประโยชน์สูงสุดเช่นเดิมจากรายได้สัญญาสัมปทาน เอไอเอสก็ไม่ได้รับผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษใดๆ จากการดำเนินการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการโทรคมนาคมเพิ่มเติมแต่อย่างใด เพียงแต่แบ่งเงินที่ได้รับออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นภาษีสรรพสามิตที่จะต้องชำระให้แก่กระทรวงการคลังโดยตรงเป็นรายเดือน ทำให้รัฐได้รับเงินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกส่วนชำระให้แก่ผู้ให้สัมปทานนำไปใช้จ่ายในกิจการของตนเอง
ในขณะที่ประเด็นข้อกล่าวหากรณีสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่คลื่น 900 MHz หมดสัญญาลงทาง เอไอเอสต้องส่งมอบเสาสัญญาณคลื่น เครื่องมือ อุปกรณ์ทั้งระบบทั่วประเทศ และจัดหาสถานที่ตามสัญญาข้อที่ 2 และต้องเช่าต่ออีก 2 ปีหลังหมดสัญญา ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องคืนให้กับรัฐประมาณ 120,000 ล้านบาท แต่ เอไอเอส ยังไม่คืนรัฐนั้น เอไอเอส ขอชี้แจงว่า ในตอนนี้ เอไอเอส และทีโอที ได้มีการหารือที่จะยุติข้อพิพาทโดยการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันซึ่งใกล้จะเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้
ดังนั้นเอไอเอส ขอยืนยันในการดำเนินธุรกิจ ที่เคารพกฏเกณฑ์กติกา โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะเอไอเอสเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การกระทำทุกอย่างต้องสามารถตรวจสอบได้ จึงใคร่ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ข่าวเด่น