น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน(คน.) และกรมการค้าต่างประเทศ (คต.)ตรวจสอบสาเหตุที่ราคาข้าวเหนียวในปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติหรือไม่ หลังจากได้รับข้อมูลว่าขณะนี้ราคาข้าวเปลือกเหนียวสูงถึงตันละ 13,000-15,000 บาท หรือกิโลกรัม (กก.) ละ 13-15 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่อยู่ที่ตันละ 11,000 บาท หรือกก.ละ 11 บาท เพราะเกรงว่าในฤดูกาลผลิตใหม่ เกษตรกรจะแห่ปลูกข้าวเหนียวมากขึ้น เพราะเห็นว่าราคาดี ซึ่งในที่สุด จะก่อให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำ
"ราคาข้าวเปลือกเหนียวทำสถิติสูงสุด และสูงกว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตันละกว่าพันบาทแล้ว ซึ่งกังวลว่า ในรอบหน้าเกษตรกรจะแห่ปลูกมากขึ้น จึงได้มอบให้กรมการค้าภายใน และกรมการค้าต่างประเทศ ตรวจหาสาเหตุว่าราคาที่สูงขึ้น เป็นเพราะความต้องการที่แท้จริงมีมาก หรือเป็นความต้องการเทียม เพราะปกติข้าวเหนียวปลูกเพื่อบริโภคในประเทศ และส่งออกต่อปีไม่สูงมาก ประมาณแค่ 3 แสนตันเท่านั้น เบื้องต้นจากการตรวจสอบมุ่งตรวจสอบภาคอุตสาหกรรมถึงความต้องการใช้ข้าวเหนียวเพื่อการผลิตเพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือมีลักลอบนำไปขายตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจอปัญหาภัยแล้งเหมือนไทย" น.ส.ชุติมากล่าว
น.ส.ชุติมา กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวในตลาดโลก จะต้องจับตาการส่งออกของประเทศผู้ส่งออกสำคัญ ทั้งอินเดียและเวียดนาม หาก 2 ประเทศนี้ ส่งออกข้าวในปริมาณมาก ราคาข้าวในตลาดโลกจะไม่สูงขึ้นมาก แต่หากปริมาณการส่งออกลดลง เพราะผลผลิตเสียหายจากภัยแล้ง ผลผลิตหายไป ราคาข้าวจะปรับสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของข้าวไทย ราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าราคาจะทรงตัวในระดับสูง หลังจากที่ได้มีแผนการผลิตข้าวครบวงจร ที่มีการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก การจำกัดพื้นที่ปลูก การผลักดันให้เกษตรกรทำนาแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวสอดคล้องกับความต้องการ และราคาไม่ตกต่ำ
ข่าวเด่น