ภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหพันธรัฐรัสเซีย สมัยพิเศษ (ASEAN – Russia Commemorative Summit) ระหว่างวันที่ 19–21พฤษภาคม 2559
เมื่อเวลา 17.45 น.วันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยมีผู้แทนผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมาต้อนรับที่เครื่องบิน จากนั้นนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังโรงแรม Four Seasons Lion Palace ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก จากนั้นเวลา 19.00 น. รองผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
ภารกิจในวันนี้ (18 พ.ค.) นายกรัฐมนตรีวางพวงมาลาและตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ณ สุสานทหารนิรนาม นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในเวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากนั้นเวลา 10.30 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน Thailand – Russia Business Dialogue ที่ โรงแรม Four Seasons Lion Palace ส่วนช่วงบ่าย เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือกลุ่มเล็กกับนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ก่อนพบหารือทวิภาคีแบบเต็มคณะ ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง จากนั้นจะแถลงข่าวร่วมกัน และในช่วงค่ำ นายกรัฐมนตรีรัสเซียจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
เวลา 10.30 น. ณ ห้อง Mountferrand Grand โรงแรมที่พัก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thai-Russia Business Dialogue พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีรัสเซีย และรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจรัสเซียที่เห็นความสำคัญและมาเข้าร่วมงานในวันนี้ ซึ่งการเดินทางมารัสเซียในครั้งนี้นับเป็นการนำคณะรัฐมนตรีร่วมคณะมาเยือนต่างประเทศจำนวนมากที่สุด รวมถึงคณะภาคเอกชนชั้นนำจากประเทศไทย
ทั้งนี้ในปี 2560 จะเป็นปีที่ครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมายาวนาน ทั้งด้านสังคม การเมืองและความมั่นคง และเศรษฐกิจ
ด้านสังคม ทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญ โดย 3 เดือนแรกของปี 2559 นักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ในลำดับที่ 4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยมากที่สุด
ด้านการเมือง นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัสเซียที่เป็นมิตรประเทศที่เข้าใจและให้การสนับสนุนไทย ทั้งในระดับทวิภาคีและในเวทีนานาชาติมาโดยตลอด รวมถึงความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงที่รัสเซียให้การสนับสนุนไทยมาโดยตลอดเช่นกัน
ทั้งนี้ ในด้านการค้านั้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและรัสเซียควรเร่งกระชับความร่วมมือ โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในปี 2558 มีมูลค่าเพียง 2,356 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสามารถที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ 5 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนด้านการลงทุน นายกรัฐมนตรีเห็นว่างาน Thai-Russian Business Dialogue เป็นโอกาสอันดีสำหรับภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายที่จะได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และนำไปสู่การขยายความร่วมมือต่อไป
นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาประเทศ พยายามลดความขัดแย้งให้มากที่สุดในทุกประเด็น และสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย อาเซียน และมิตรประเทศ โดยไทยกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ การมีธรรมาภิบาล และการมุ่งพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยในปี 2558 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก แต่ GDP ยังเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2559 คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3 - 3.5 โดยในระยะสั้นจะมาจากการบริโภคในประเทศ การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 1.7 ล้านล้านบาทในระยะ 8 ปีข้างหน้า และในระยะยาว ที่รัฐบาลมุ่งมั่นปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายยกระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีคุณภาพและยั่งยืน สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต
ประการแรก การพัฒนาประเทศสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล โดยพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในประเทศให้เติบโตควบคู่ไปกับการส่งออก ทั้งการปฏิรูปเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้และกระจายความเจริญอย่างทั่วถึง
ประการที่สอง ไทยมุ่งไปสู่การเป็นเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าจากนวัตกรรม เนื่องจากสภาพการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการผลิตที่เน้นนวัตกรรม คุณภาพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และความสามารถในการแข่งขัน โดยขณะนี้ รัฐบาลได้กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่ม ที่จะให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่ง 5 กลุ่มแรก จะเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว โดยให้เพิ่มความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ (1) ยานยนต์แห่งอนาคต (2) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) การท่องเที่ยวระดับโลก (4) การเกษตรที่มีประสิทธิภาพ และ (5) อาหารแห่งอนาคต เช่น อาหารสุขภาพ ส่วน 5 กลุ่มหลัง จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ได้แก่ (1) เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบิน (3) อุตสาหกรรมไบโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bio-fuels และ Bio-chemicals (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพครบวงจร
รัฐบาลยังมุ่งส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ (Cluster) ของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งยังจะพัฒนาผู้ผลิต และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสถาบันวิจัย การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ และพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ นอกจากนี้ BOI ยังกำหนดสิทธิประโยชน์การลงทุนที่น่าสนใจให้แก่การลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้ด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับธุรกิจ Startup เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนในด้านเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพราะถือเป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ของไทยที่จะทำให้เกิดการขยายธุรกิจและการสร้างตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันสนับสนุนอย่างเต็มที่
และ ประการสุดท้าย คือ โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการคมนาคมและการขนส่งของประเทศ โดยรัฐบาลจะร่วมมือกับภาคเอกชน ทั้งภายในและจากต่างประเทศ ซึ่งจะได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ PPP (Public-Private Partnership) ขึ้น และดำเนินการปรับลดขั้นตอนให้สะดวกต่อการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งยังจะมีการจัดตั้งกองทุนขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (Thailand Future Fund)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังปรับเปลี่ยนไปสู่เป้าหมาย ประเทศไทย 4.0 หรือ Thailand 4.0 โดยเริ่มต้นจากการเกษตร ซึ่งเป็นประเทศไทย 1.0 แล้วพัฒนาไปเป็นอุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า หรือ ประเทศไทย 2.0 จากนั้นพัฒนาอีกระดับ เข้าสู่สถานภาพของไทยในปัจจุบัน คือ อุตสาหกรรมหนักและเริ่มมีขีดความสามารถในการส่งออก คือ ประเทศไทย 3.0 และจากนี้ไป ประเทศไทยต้องการมุ่งไปสู่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สูงขึ้นทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร
โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า รัสเซียมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในหลากหลายอุตสาหกรรมที่จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับไทย เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่ม และช่วยนำประเทศไทยไปสู่ ประเทศไทย 4.0
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมีแหล่งที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญใจกลางอาเซียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMVT ที่กำลังเติบโต ซึ่งด้วยแหล่งที่ตั้งในจุดยุทธศาสตร์ ด้วยศักยภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยในปัจจุบัน ถ้าไทยสามารถทำการปฏิรูปอย่างจริงจัง ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงยิ่งในภายภาคหน้า โดยเฉพาะการลงทุนที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบาย Thailand + 1 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและมิตรประเทศที่สนใจในการร่วมกันลดความเหลื่อมล้ำในภูมิภาค และขับเคลื่อนการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุนในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการรวมตัวสู่ประชาคมอาเซียนที่ยั่งยืน นอกจากนี้ไทยยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือในทุกมิติ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน กับ 5 กลุ่มประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันตก กลุ่มประเทศยุโรป กลุ่มประเทศเอเชีย กลุ่มประเทศมุสลิม และกลุ่มประเทศหมู่เกาะ นายกรัฐมนตรีจึงได้ใช้โอกาสนี้เชิญภาคเอกชนรัสเซียพิจารณาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า BOI สามารถให้สิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ หากเข้าไปลงทุนในประเทศไทย เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 8 ปี และยังอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้ส่งเสริมการลงทุน และช่วยอำนวยความสะดวกในการขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้บริหาร วิศวกรต่างชาติที่จะทำงานในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกในการลงทุนเป็นอย่างมาก ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการเพื่อยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ เพื่อปรับปรุงขั้นตอนในการทำธุรกิจให้สะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบและบริการ รวมทั้งการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมุ่งหวังที่จะขึ้นการจัดอันดับ Ease of Doing Business ของประเทศไทยโดยการสำรวจของธนาคารโลก (World Bank) ให้ดีขึ้นจากปัจจุบัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า โอกาสทางธุรกิจการค้าการลงทุนของรัสเซียในประเทศไทยนั้นยังมีลู่ทางที่ดีมาก หากพิจารณาจากสถิติการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทยและรัสเซีย การลงทุนของรัสเซียในไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ โดยหากได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย จะเพิ่มโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญให้บริษัทรัสเซียพิจารณาใช้ไทยเป็นฐานการทำธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC) ซึ่งขณะนี้รัฐบาลปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนแก่กิจการเหล่านี้เพิ่มขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ รัฐบาลและนักธุรกิจไทยยังเล็งเห็นถึงโอกาสการลงทุนในรัสเซีย ซึ่งนับเป็นสิ่งใหม่สำหรับนักธุรกิจไทยและเป็นโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งการจะผลักดันให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้นต้องพึ่งพาการสนับสนุนข้อมูลและการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐของรัสเซียอีกมาก
ข่าวเด่น