วันนี้ (19 พฤษภาคม 2559) นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศได้เปิดภาคเรียนตามปกติ ทั้งนี้ นอกจากผู้ปกครองและครูอาจารย์ต้องดูแลสุขภาพของเด็กและความพร้อมต่อการเรียนแล้ว ยังต้องใส่ใจและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะเด็กเล็กในระดับอนุบาลและในศูนย์เด็กเล็ก เช่น อุบัติเหตุจากการเล่นอุปกรณ์ในสนามเด็กเล่นหรือของเล่นต่างๆ การเล่นกับเพื่อน ที่สำคัญคือการลืมเด็กไว้ในรถ ทั้งรถรับ-ส่งเด็กนักเรียน และรถของผู้ปกครองเอง
จากการเฝ้าระวังข่าวจากสื่อ ของสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2555-2559) มีเหตุการณ์ที่เด็กถูกลืมทิ้งไว้ในรถ จำนวน 13 เหตุการณ์ เด็กเสียชีวิตทั้งหมด 6 ราย และช่วยไว้ได้ทัน 7 ราย ในจำนวนเด็กที่เสียชีวิตเป็นชาย 4 ราย หญิง 2 ราย ทั้งหมดอายุ 3-4 ปี โดยถูกลืมทิ้งไว้ในรถรับ-ส่งนักเรียน 5 ราย และรถยนต์ส่วนบุคคล 1 ราย ทั้งหมดถูกลืมทิ้งไว้นานกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กที่เสียชีวิต จำนวน 4 รายนอนหลับอยู่บนรถ ขณะรถกำลังไปส่งที่โรงเรียน ส่วนเด็กที่ช่วยไว้ได้ทันทั้งหมดผู้ปกครองไม่ได้ลืม แต่ตั้งใจทิ้งเด็กไว้ในรถเอง เพราะคิดว่าลงไปทำธุระไม่นาน (โดยติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ทิ้งไว้)
นายแพทย์อำนวย กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลการทดสอบกรณีเด็กติดในรถ(จอดรถกลางแดด) ของศูนย์วิจัยสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในรถไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่เป็นเพราะความร้อนภายในรถที่สูงขึ้น หากเด็กติดอยู่ในรถที่จอดกลางแดด 5 นาที อุณหภูมิจะสูงขึ้นจนไม่สามารถทนอยู่ได้, 10 นาที ร่างกายจะยิ่งแย่ และ 30 นาที เด็กจะเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ช็อก หมดสติ สมองบวมตามมา จากนั้นอาจหยุดหายใจ อวัยวะทุกอย่างก็จะหยุดทำงาน และอาจเสียชีวิตได้
ขอแนะนำผู้ปกครอง พนักงานขับรถรับ-ส่งนักเรียน และครูอาจารย์ ให้เตือนตนเองใน 3 ข้อควรจำ เพื่อป้องกันการลืมเด็กในรถ ดังนี้ “นับ ตรวจตรา อย่าประมาท” นับ : นับจำนวนเด็กก่อนขึ้นและหลังลงจากรถทุกครั้ง, ตรวจตรา : ก่อนล็อคประตูรถ ตรวจดูให้ทั่วรถ, อย่าประมาท : อย่าทิ้งเด็กไว้เพียงลำพังแม้ช่วงเวลาสั้นๆ ที่สำคัญหากพบเห็นเด็กถูกลืมไว้ในรถ ขอให้เรียกหาเจ้าของรถ เพื่อให้เปิดรถโดยเร็ว หากไม่พบเจ้าของรถขอให้คนรอบข้างช่วยเหลือ และโทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพ โทร 1669 ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
ข่าวเด่น