นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน กล่าวว่า ครบรอบ 2 ปี หลังการปฏิวัติ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศรู้สึกได้ว่าประเทศเสื่อมถอยในทุกด้านอย่างชัดเจน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ที่ประเทศไทยเติบโตต่ำสุดในอาเซียนติดต่อกันทั้ง 2 ปีของการปฏิวัติ โดยปี 2557 โตเพียง 0.7% และปี 2558 โตเพียง 2.8% แม้การขยายตัวในไตรมาสแรกของปี 2559 จะโต 3.2% ก็ยังต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แถมเป็นการเติบโตแบบไม่ยั่งยืน เพราะการส่งออกที่แท้จริงยังติดลบ และการลงทุนยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐกว่าแสนล้าน และการส่งออกทองคำ การส่งคืนยุทโธปกรณ์มาช่วยเท่านั้น ในไตรมาสต่อๆ ไปก็ยังคงดูไม่ดีนัก และทั้งปีจะโตได้ไม่ถึง 3.7% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
ปัญหาหลักอยู่ที่ความเชื่อมั่นของต่างประเทศ ส่งผลทำให้การลงทุนจากต่างประเทศหายไปถึง 90% ในปี 2558 และในปี 2559 อาจจะโตขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาวะปกติ และการส่งออกทั้งปีนี้จะยังคงติดลบต่อเนื่อง ประชาชนยังลำบากกันอย่างมาก เพราะมีรายได้ลดลงกันถ้วนหน้า ยิ่งมาเจอปัญหาสิทธิมนุษยชน ทึ่ถูกตำหนิโดย ยูเอ็น อียู และสหรัฐฯ ยิ่งทำให้ความมั่นใจต่างประเทศลดลง
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ยังสับสนไม่เข้าใจว่า ในขณะที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกร้องให้ประชาชนเคารพกฏหมายที่รัฐบาล และ คสช.ร่างและกำหนดขึ้นมาเอง แต่รัฐบาล และ คสช.กลับไม่ปฏิบัติตามกฏบัตรสหประชาชาติ และกติกาสากลที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีปัญหาทางภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในสายตาของชาวโลกมากขึ้น
ข่าวเด่น