บัญชีกลางเผยมีเงินรับเข้าเงินคงคลัง ช่วง 8 เดือน ปีงบประมาณ 59 สูงถึง 2,686,031.66 ล้านบาท และแจงผลการเบิกจ่ายในภาพรวมได้สูงถึง 1.78 ล้านล้านบาท เชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือน (ต.ค.58 – พ.ค.59) กรมบัญชีกลางมีเงินรับเข้าเงินคงคลังผ่านระบบ GFMIS (ข้อมูล ณ วันที่ 3 พ.ค. 59) สูงถึง 2,686,031.66 ล้านบาท ซึ่งเดือนพฤษภาคม 2559 มีเงินสดรับ จำนวน 265,489 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 40,060 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.77 แบ่งเป็น การนำส่งเงินของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนำส่งกว่า 207,642 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากภาษี ส่วนใหญ่มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 50,811 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.36 ของเงินรายได้นำส่งคลังทั้งหมด รองลงมาคือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล 30,439 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.40 และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 24,668 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.43 ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 12,994 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.44 ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ภาษี ได้แก่ การนำส่งเงินของรัฐวิสาหกิจ 27,714 ล้านบาท และการนำเงินนอกงบประมาณฝากคลัง 30,133 ล้านบาท ทั้งนี้กรมบัญชีกลางคาดว่าการจัดเก็บรายได้ของเดือนพฤษภาคมได้รับผลมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในเดือนนี้สูงกว่าปีก่อน
สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินช่วง 8 เดือนแรกของงบประมาณประจำปี 2559 (ต.ค.58 – พ.ค.59) เบิกจ่ายงบประมาณภาพรวม 1,789,076 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,720,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 65.77 แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ เบิกจ่ายแล้ว 1,563,811 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,175,646 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 71.88 ขณะที่รายจ่ายลงทุน (ไม่รวมงบกลาง) เบิกจ่ายแล้ว 224,554 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 457,096 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 49.13 โดยการเบิกจ่ายเงินประมาณของภาครัฐในภาพรวมเบิกจ่ายได้สูงขึ้น
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากหน่วยงานราชการพยายามเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อช่วยผลักดันให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขณะที่ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มเติม ตาม พ.ร.บ. งบประมาณจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ในภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว 10,774 ล้านบาท ของวงเงินประมาณ 56,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.24 ซึ่งแบ่งเป็น รายจ่ายประจำ เบิกจ่ายแล้ว 10,710 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.12 และรายจ่ายลงทุน เบิกจ่ายแล้ว 64 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 0.43 และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ของปีงบประมาณ 2549-2558 เบิกจ่ายได้แล้ว 184,043 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 307,851 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.78
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตามโครงการรัฐบาลที่สำคัญ ประกอบด้วย 1.มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ตำบลละ 5 ล้านบาท เบิกจ่ายได้แล้ว 28,958 ล้านบาท ของวงเงินรวม 36,462 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 79.42 และเริ่มทยอยเบิกจ่ายเงินอย่างต่อเนื่อง 2.มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ เบิกจ่ายได้แล้ว 33,321 ล้านบาท ของวงเงินรวม 37,907 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 87.90 และ
3.มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน เบิกจ่ายได้แล้ว 45,013 ล้านบาท ของวงเงินรวม 60,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 75.02 ส่งผลให้เศรษฐกิจในระดับชุมชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ผ่านการจ้างงานและการบริโภคของประชาชน4.โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ เบิกจ่ายได้แล้ว 3 ล้านบาท ของวงเงินรวม 14,918 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.02 ซึ่งเป็นเงินที่เบิกไปพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทุกภูมิภาคของประเทศ และในส่วนของผลการเบิกจ่ายเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เบิกจ่ายได้แล้ว 71,963 ล้านบาท ของวงเงินรวม 300,530 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.95
ทั้งนี้ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ในส่วนของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ภาพรวมเบิกจ่ายได้ 139,095.62 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 147,874.79 ล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ เบิกจ่ายแล้ว 132,032.22 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 140,811.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.77 และรายจ่ายลงทุน เบิกจ่ายแล้ว 7,063.40 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 7,063.40 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ และนำไปพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐ
"ภาพรวมของรายได้ที่เข้าสู่เงินคงคลังผ่านระบบ GFMIS และผลการเบิกจ่ายเงินช่วง 8 เดือน ที่สามารถเบิกจ่ายได้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีเงินหมุนเวียนในระบบ ตามเป้าหมายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน" นายมนัส กล่าว
ข่าวเด่น